"นายกฯอภิสิทธิ์" ตั้งเป้าเลือกตั้งเสียงต้องไม่น้อยไปกว่าเดิม ยอมรับอยากชนะเป็นอันดับ 1 อ้อนทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนตนไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้...

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษ"ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" ถึงกรณีการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในปี 2554 พร้อมทั้งอวยพร ส.ส.ในพรรคให้กลับมาทั้ง 100% ขึ้นเป็นรัฐบาลอีกครั้งว่า อวยพรก็อวยพรไป มันเป็นเรื่องที่ต้องทำงานหนัก ผมไม่สามารถบอก หรือสามารถพยากรณ์ได้ว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ประชาชนตัดสินใจอย่างไร แต่คิดว่าคะแนนเสียงพรรคไม่น่าจะแย่กว่าเดิม แต่จะชนะหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่ ยอมรับว่าอยากมีคะแนนเสียงมาเป็นที่หนึ่ง การยุบสภาจะเมื่อใดนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมกำหนด


"วันนี้เรื่องเศรษฐกิจผ่านแล้ว เรื่องที่สองคิดว่าจะผ่านได้คือเรื่องรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องที่ 3 คือบรรยากาศความสงบเรียบร้อยที่จะเป็นตัวเร่งให้ตัดสินใจยุบสภาเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรก็เลือกตั้งได้เลย แต่ถ้ามีความวุ่นวายเรื่อยๆ ก็เลือกตั้งช้า​ ดังนั้นช่วยไปบอกคนที่อยากเลือกตั้งเร็วๆ ว่าอย่าได้สร้างเงื่อนไข" นายกฯ กล่าว

ส่วนกรณีที่มั่นใจว่าจะร่วมกับพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้อีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิ์แต่ละพรรค ไม่สามารถก้าวก่ายได้ แต่จากที่ได้ทำงานร่วมกันมา 2 ปี ไม่คิดว่าจะตั้งข้อรังเกียจในการทำงานร่วมกันต่อไป แต่จะตัดสินใจอย่างไรเป็นสิทธิ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ยอมรับการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ผ่านมาก็ยากตามปกติ เพราะธรรมชาติรัฐบาลผสม พรรคการเมืองก็จะมีจุดยืนบางเรื่องไม่ตรงกันเพราะฉะนั้น การที่ต้องมาทำงานรับผิดชอบร่วมกันมันก็ย่อมมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง เป็นธรรมดาและความใกล้ชิดระหว่างคนทำงานก็ย่อมไม่สนิทสนมเป็นธรรมดา แต่ถามว่ามีอะไรยากเป็นพิเศษไหมก็คิดว่าสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ยากกว่าปกติ

...


ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวยอมรับว่า หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกในครั้งหน้า โดยที่มีคะแนนเสียงมากขึ้น การทำงานก็จะทำได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าจริงจังในเรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันมาโดยตลอด แต่ยอมรับปัญหารุนแรงกว่าที่คิด แต่ก็เชื่อมั่นว่าตลอด 2 ปีที่ทำงานมาคนนอกประเมินผลการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันดีขึ้นแต่ช้า ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ อันดับไหลลงไปค่อนข้างต่ำ ประชาชน​ภาคเอกชนทราบดีว่ารัฐบาลพยายามทำอะไรอยู่​ รัฐบาลชุดนี้เท่าที่จำได้นึกไม่ออกว่า มีโครงการไหนที่ได้รับเรื่องร้องเรียนทุจริตแล้วไม่มีการตรวจสอบ ตรวจสอบทุกเรื่องและไม่มีการจำกัดเรื่องพรรคด้วย ว่าเป็นไปตามกรอบกฎหมายกติกาของประเทศ อยากผลักดันงานทุกเรื่องให้ประสบผลสำเร็จ สังเกตได้จากการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รัฐบาลให้ความช่วยเหลือเร็วมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา

นอกจากนี้ นายกฯ กล่าวยอมรับอีกว่า ยังพบความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และทนายความในต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ซึ่งไทยก็ต้องทำหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง และเรื่องใดที่กระทบความมั่นคงก็ต้องดำเนินการ ทั้งนี้ การที่จะมีการนิรโทษกรรม หรือประกันตัวแกนนำ นปช.ก่อนเลือกตั้งหรือไม่ ต้องไปถามอาจารย์คณิต ณ นครเอาเอง ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ขั้นตอนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว ก็ไม่สามารถตอบได้ว่านานเท่าใด แต่เราก็เร่งรัดอยู่


นายกฯ กล่าวอีกว่า ปัญหาการเมืองเป็นอุปสรรคของรัฐบาล และรุนแรงมาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะว่าการเมืองก็ออกไปสู่ท้องถนน และมีความรุนแรง ซึ่งตัวนี้ก็จะเป็นตัวที่ฉุดรั้ง หลายสิ่งหลายอย่าง ขณะที่มีหลายเรื่องที่ต้องตัดสินใจบนความขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเอง ในการบริหารบ้านเมือง ข้อแรก การตัดสินใจในทุกเรื่องต้องมีทั้งคนที่ชอบ และคนไม่ชอบ ข้อสองบางเรื่องเราจำเป็นต้องรักษาระบบ รักษากฎหมาย มีผลกระทบกับคน การตัดสินใจแบบนี้ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่หลายสถานการณ์มันก็มีความจำเป็น แต่ถ้าเป็นมาตรฐานด้านจริยธรรม ซึ่งไม่เคยฝืนตัวเองอย่างนั้น

อย่างไรก็ดี รัฐบาลมีแนวทางชัดเจนในการเร่งเดินหน้าในการปฏิรูป แนวทางปรองดอง แล้วเรากำลังเข้าสู่กระบวนการของการเลือกตั้ง จึงไม่ควรที่จะมีเหตุการณ์เกิดปัญหาซ้ำรอย กับปีที่ผ่านๆ มา แต่ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชน ผมย้ำหลายครั้งว่าประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเห็นต่างจากรัฐบาล แสดงออกได้แต่ต้องมีขอบเขต ถ้ามีการชุมนุมก็เป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยชอบตามกฎหมาย และไม่รุนแรง รวมถึงไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ใช้ความรุนแรงแฝงตัว​ ทุกคนก็ผ่านบทเรียนมาว่าเมื่อเกิดความรุนแรงความสูญเสียขึ้นทุกคนก็เสียหายกันหมดจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร และสังคมก็ต้องช่วยกันกดดันเมื่อเกิดปัญหา ทั้งนี้ นายกฯ ยันไม่เคยคิดท้อถอย และไม่มีสิทธิ์ที่จะท้อ มันเป็นความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ส่วนการที่นักธุรกิจชาวต่างชาติออกมาตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดประเทศไทยจึงไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดเพื่อแก้ปัญหานั้น นายกฯ กล่าวว่า ปีที่จะผ่านไป 2553 เราได้ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมาก จนมีหลายฝ่ายออกมาตำหนิว่าไม่เด็ดขาดแม้ที่ดำเนินการไปในขณะนี้ก็จะเห็นว่า มีการไปพูดทำนองไม่เคารพสิทธิ์ของประชาชน รัฐบาลใช้ความรุนแรง ฉะนั้นความยากลำบากอยู่ตรงนี้ คนบางกลุ่มช่วงเกิดเหตุการณ์ก็บอกให้รัฐบาลเข้าไปจัดการเด็ดขาดเลย ใช้อะไรก็ได้ คนกลุ่มนี้พอเหตุการณ์ผ่านไปก็ไม่พูดอย่างนี้แล้ว ก็บอกว่าทำไมถึงมีการใช้ความรุนแรง เพราะฉะนั้นความยากลำบากอยู่ตรงนี้

ดังนั้น หากสังคมมีมาตรฐานชัดเจน ผมก็ว่าน่าจะทำให้คนทำงานมีความมั่นใจมากขึ้น แต่ที่เราตัดสินใจทำไปก็เพื่อหาความสมดุล ขณะที่ปัญหาการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เหมือนรัฐบาลล้มเหลว เพราะที่ผ่านมาเหมือนฝ่ายค้านนำไปขยายผลอะไร คนเชื่อถือหมด ส่วนรัฐบาลตอบโต้กลับไม่ค่อยจะได้ผล

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวกลับเห็นต่างออกไปว่าส่วนใหญ่ของประเทศมีความเข้าใจในข้อมูลที่รัฐบาลสื่อสารออกไป เพราะถ้าไม่เข้าใจ รัฐบาลก็คงไม่สามารถที่จะอยู่ได้ ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจแต่ต้องยอมรับคนที่เข้าใจเขาก็เงียบ แต่คนไม่เข้าใจก็จะร้องเรียนสะท้อนออกมาก็เป็นปกติของสังคมประชาธิปไตย รัฐบาลก็ต้องฟังว่าทำไมเขาถึงไม่เข้าใจ หรือบางกลุ่มอาจตั้งใจที่จะไม่เข้าใจ กลุ่มนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร.



( ฟังเสียงสัมภาษณ์คลิกที่นี่ )