ท้าเอาหลักฐานพิสูจน์ พร้อมรับผิดชอบหากสั่งฆ่าจริง ชี้เผาเมือง-ดิสเครดิตรัฐบาลไม่ใช่หนทางสู่ปรองดอง รับป้องบึมยาก เรียกร้องทุกฝ่ายหยุดทำร้ายประเทศ ...

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเหตุระเบิดหลายครั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ช่วงที่ผ่านมาว่า กองทัพเคยนำทหารออกมาเต็มเมืองไปหมด และลดระดับลงมา ซึ่งหน้าที่หลักเป็นของตำรวจ และสถานีตำรวจในพื้นที่ กทม. ที่มี 88 สถานี ซึ่งหากไม่พอ เราจะจัดเจ้าหน้าที่ทหารไปช่วย พร้อมกับเครือข่ายภาคประชาชน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประชาชนจะต้องเข้าใจ เพราะถ้าพื้นที่ไหน เจ้าหน้าที่ดูแลเข้มงวดเขาก็ไม่ทำ แต่ถ้าพื้นที่ไหนไม่มีเจ้าหน้าที่ เขาก็จะไปทำ ดังนั้น โดยตรรกกะเราอาจจะต้องดูทุกจุด ถ้า 500 เมตรดูไม่เพียงพอ ก็จะต้องดูทุก 100 เมตร แต่ทำไม่ได้ การที่มีคนทำอยู่ถือเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและสังคม รัฐบาลก็ไม่มีเสถียรภาพ ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ เศรษฐกิจไปไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคนทำไม่น่าจะทำ เพราะเป็นการทำร้ายคนทั้งประเทศ ถ้ามีคนบาดเจ็บล้มตายจะยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองย่ำแย่

“หากให้เจ้าหน้าที่ไปอยู่เต็มเมือง จะทำให้เกิดความสิ้นเปลือง อีกทั้งขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะนำทหารออกมาจำนวนมาก ขณะนี้เราใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนอีกส่วนหนึ่งช่วยดูแล แต่ไม่ว่าเราจะดูกี่สิบแห่ง หรือร้อยแห่ง ก็ยังมีช่องว่างที่สามารถเกิดเหตุขึ้นได้ ผมต่อให้เฝ้าทุก 100 เมตรก็ยังเกิดเหตุได้ เช่น สมมุติเวลารถวิ่งผ่านก็โยนระเบิดได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่พยายามให้ตำรวจช่วยดูแล ทหารเข้าไปเสริมระดับหนึ่งไม่ได้ใช้กำลังมากมาย เพราะจะทำให้เกิดความสิ้นเปลือง”พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

...

เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงเตรียมเคลื่อนไหวในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ซึ่งจะครบรอบ 4 ปี วันรัฐประหาร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีกฎหมายอยู่ เมื่อมีการเคลื่อนไหวเดี๋ยวจะมีปัญหา เราไม่อยากให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะเป็นไทยด้วยกัน แต่หากเขาไปทำหรือพูดอะไรที่ไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องคนตายที่ยังต้องไปถามเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ การจะบอกว่า ใครยิงใครตาย หรือยังบอกไม่ได้ว่า ถูกยิง หรือถูกใครทำร้ายตาย ถามว่า คนที่พูดได้เห็นเหตุการณ์ ตรวจสอบวิถีกระสุน รู้ผลการพิสูจน์ มีวัตถุพยานหรือไม่ เขาไม่มี แต่เหมารวมว่า คนใส่เสื้อสีเขียวสวมแว่นดำเป็นคนยิง ตนคิดว่า ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง หากคนในสังคมไม่รู้แล้วพูดอย่างนี้ไม่ได้

“ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้ยิงประชาชน หากมีตรงไหนที่เราสั่งให้ยิงประชาชนให้เอามาได้เลย ผมรับผิดชอบเอง ตั้งแต่แม่ทัพภาค ผู้บัญชาการกองพลจนถึงพลทหารที่ถือปืน ท่านลองไปดูว่า มีคำสั่งให้ทหารยิงหรือไม่ เราไม่เคยสั่งเช่นนั้น ทหารของกองทัพบกที่มาทำงานเกินครึ่งเป็นคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขารู้อยู่เต็มอกว่า ได้รับคำสั่งให้ไปทำอะไร ผมยืนยันว่า เราไม่มีคำสั่งอย่างนี้ ผมไม่ได้ว่าใครยิง แต่ให้คนที่พูดไปดูและพิสูจน์มา อย่ามาให้ร้ายว่าคนโน้นคนนี้ยิง ผมยืนยันกับสังคมว่า การกระทำอย่างนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง สิ่งที่ผมกังวลคือ มีการใส่ร้ายทหาร ซึ่งทำไม่ได้ เพราะสถาบันหลักทหารเป็นสถาบันของชาติ เราอยู่กับประชาชน ทหารไม่มีทางทำร้ายประชาชน เพราะจะให้ผมสั่งอย่างนั้นทำไม่ได้ หากมีคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นวาจานำมายืนยันได้ ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่า จะมีการดำเนินการอย่างไรที่มีการจ้องโจมตีกองทัพ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า อยากขอร้องให้สื่อเสนอข้อเท็จจริงให้สังคมเข้าใจ อยู่ดีๆ จะมากล่าวหาเสื้อสีนั้นสีนี้ยิงไม่ได้ ต้องไปดูที่พื้นที่เกิดเหตุ รอยกระสุน วิถีกระสุน ซึ่งยังไม่รู้ว่า จะจับได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ต้องนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบกัน และให้ระบบยุติธรรมดำเนินการ

เมื่อถามถึงแนวความคิดของพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการให้การเมืองหันหน้ามาปรองดอง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานกฎหมายและระเบียบ ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแผนปรองดองนั้น อย่าไปฟัง คอลัมนิสต์เขียนนิยายเป็นเรื่องๆ ตนไม่ทราบว่า ไปเอามาจากไหน ตนเป็นทหารไม่เคยเข้าไปพูดคุยและยุ่งเกี่ยวกับใคร ได้แต่ติดตามจากสื่อ ขอให้ไปถามคนที่เขียนคอลัมนิสต์เอง

“สุดท้ายการปรองดองต้องเกิดขึ้น จะอย่างไรต้องหยุดกัน จะไปหยุดตามกฎหมายก็ต้องหยุดกัน นักการเมืองก็ต้องทำตัวให้ดี ถ้าผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด จะทำอะไรในสภาหรือนอกสภาก็ทำได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย นั่นคือ ปรองดอง ไม่ใช่พูดกัน ไม่ใช่มาเผาบ้านเผาเมือง หรือมาทำให้คนอื่นเสียหายนั้นไม่ใช่หนทางไปสู่การปรองดอง หรือเข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่ทางรัฐบาลที่ทำให้ทุกคนพอใจ รัฐบาลถูกประชาชนดูอยู่แล้วว่า ผิดหรือไม่ผิด สื่อก็คอยดูอยู่” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการลอบสังหารบุคคลสำคัญรวมถึงตัวท่าน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า อีกประมาณไม่กี่วัน ผมก็เป็นประชาชนเช่นคุณ เวลาผมตายก็ต้องช่วยกัน ไม่ให้เกิดขึ้นอีกวันข้างหน้า ไม่มีทางอื่น ผมจะไปป้องกันตัวอะไรได้ สั่งใครก็ไม่ได้ ถ้าตายไปจริงสังคมต้องดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดูแล เพราะถ้ายังตายกันอยู่เรื่อยๆ ประเทศไทยก็อยู่ไม่ได้ สักวันลูกคุณเป็น ผบ.ทบ. ก็อาจตายได้.