แรงงานต่างด้าวชาวเอเชียใต้กว่า 400 คน ก่อจลาจลในเขต "ลิตเติล อินเดีย" ในสิงคโปร์ มีผู้บาดเจ็บ 18 คน รวมทั้งตำรวจ 10 นาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน 4 นาย ขณะที่นายกฯลี เซียน ลุง ออกมาประณาม จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษขั้นสูงสุด...
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 8 ธ.ค. หลังจากรถบัสโดยสารส่วนบุคคลคันหนึ่ง พุ่งชนชาวอินเดียวัย 33 ปี เสียชีวิต ในเขต "ลิตเติล อินเดีย" ของสิงคโปร์ ส่งผลให้ฝูงชนโกรธแค้น ลุกฮือทุบทำลายรถบัสคันนั้น จุดไฟเผารถยนต์วอด 5 คัน รวมทั้งรถตำรวจ 3 คัน รถพยาบาล 1 คัน และยังมีรถยนต์ส่วนบุคคล ถูกทำลายอีกหลายคัน นับเป็นเหตุจลาจลรุนแรงที่สุดในสิงคโปร์ นับตั้งแต่ชาวจีนและมาเลย์ปะทะกันในปี 2512
ทั้งนี้ หลังได้รับแจ้งเหตุจลาจล ทางการระดมตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (ซีดีเอฟ) และทหารรับจ้างชาวกุรข่ากว่า 400 นาย เข้าสู่จุดเกิดเหตุ และควบคุมสถานการณ์ได้ภายใน 2 ชม. แต่การปะทะกันทำให้มีผู้บาดเจ็บ 18 คน รวมทั้งตำรวจ 10 นาย เจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน 4 นาย และคนขับรถบัสที่ชนชาวอินเดีย ตำรวจยังจับกุมชาวเอเชียใต้ 27 คน ในข้อหาก่อจลาจล ซึ่งตามกฎหมายที่เข้มงวดของสิงคโปร์ มีโทษจำคุกถึง 7 ปีและถูกเฆี่ยน ถ้าใครมีอาวุธอาจต้องโทษจำคุกถึง 10 ปีและถูกเฆี่ยน
...
ขณะที่นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง แถลงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประณามผู้ก่อจลาจล ว่า ไม่ว่าชนวนเหตุคืออะไร ก็ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะก่ออาชญากรรมร้ายแรง และอันตรายเช่นนี้ รัฐบาลจะทำทุกวิถีทางที่จะนำตัวผู้ทำผิดมาลงโทษสูงสุดตามกฎหมาย
ส่วนนายอึ้ง จู ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสิงคโปร์ แถลงประณามว่า การจลาจลเช่นนี้เป็นความรุนแรงป่าเถื่อนสุดจะทน ไม่ใช่วิถีทางของสิงคโปร์ พร้อมระบุว่า ไม่มีชาวสิงคโปร์ร่วมก่อจลาจลครั้งนี้ สิงคโปร์ต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวเป็นหลัก ส่วนใหญ่จากเอเชียใต้ โดยเฉพาะอินเดียและบังกลาเทศ ในภาคการก่อสร้าง ส่วน "ลิตเติล อินเดีย" เป็นเขตที่แรงงานเอเชียใต้ไปจับจ่ายซื้อของ สังสรรค์ดื่มกินในช่วงเย็นวันหยุดทำงานทุกวันอาทิตย์
อย่างไรก็ตาม เหตุจลาจลครั้งนี้ ทำให้ชาวสิงคโปร์จำนวนมากโพสต์ข้อความในอินเทอร์เน็ต โจมตีแรงงานต่างด้าวอย่างรุนแรง แต่รัฐบาลขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ การจลาจลยังเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่รัฐบาลพรรคกิจประชาชน (พีเอพี) ผ่านมติด้านนโยบายสังคมเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2531 ซึ่งมี 8 ข้อหลัก รวมทั้งเจตนารมณ์เสริมสร้างอัตลักษณ์ของสิงคโปร์ให้แข็งแกร่ง ประชาชนหลากหลายเชื้อชาติศาสนา และพื้นเพ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดอง สันติ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของสิงคโปร์