การที่คนไทยได้ทำงานกับองค์การใหญ่ทรงอิทธิพลของโลก เช่น องค์การนาซ่า ถือเป็นความสำเร็จระดับหลักไมล์ของชีวิตก็จริง แต่คงสร้างความภาคภูมิใจให้กับ อดีตวิศวกรนาซ่า “ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ” ได้ไม่เท่ากับการค้นพบแสงสว่างในพระธรรม ซึ่งนำทางสู่ชีวิตบทใหม่ ที่ผสานความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม แม้เดินทางไกลแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับท่องเที่ยวภายในใจของตัวเราเอง
ก่อนที่จะปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเพื่อเป็นการหยอดกระปุกสะสมบุญ “ดร.วรภัทร์” เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงสหรัฐอเมริกา เพื่อแสวงหาความสำเร็จทางโลก ซึ่งเขาก็ไปถึงจุดมุ่งหมายจริงๆ เพราะเป็นคนไทยเพียงไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติโดนใจองค์การวิจัยอวกาศนาซ่า จนได้รับทุนเรียนต่อด็อกเตอร์ด้านเครื่องกลและวัสดุศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเคลฟแลนด์ สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ สหรัฐอเมริกา และทำงานเป็นวิศวกรนาซ่า อยู่นานถึง 7 ปีเต็ม โดยรับผิดชอบการวิจัยและพัฒนาวัสดุเซรามิก ซึ่งประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยานอวกาศ
เข้าไปทำงานกับองค์การระดับโลกอย่าง “นาซ่า” ได้อย่างไร

หลังจากจบปริญญาตรีด้านเคมีเทคนิคจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ผมตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา โดยเลือกเรียนสาขาวิศวกรรมวัสดุศาสตร์ ที่ยังก์สทาวน์ สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ ขอทางบ้านเฉพาะค่าเทอมๆแรก และเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ผมทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน คิดแต่ว่าต้องพยายามเรียนให้นานที่สุด เพราะอยากอยู่อเมริกาจนได้ซิติเซน สมัยนั้นผมไม่อยากกลับเมืองไทย เพราะบ้านเมืองโกงกินเยอะ โชคดีที่ตอนเรียนปริญญาโท อาจารย์ที่ปรึกษาชาวอินเดียแนะนำว่านาซ่ากำลังมองหาวิศวกรที่มีคุณสมบัติหลากหลายอย่างผม จึงได้ทุนจากนาซ่าเรียนต่อด็อกเตอร์ด้านเครื่องกลและวัสดุศาสตร์ กลางวันทำงาน และตอนเย็นก็ไปเรียน ที่นาซ่ามีคนไทย 10 กว่าคน แต่ผมเป็นคนเดียวที่ทำด้านเซรามิก เคยได้รางวัลงานวิจัยการเคลือบเซรามิกลงใบพัดเครื่องยนต์ไอพ่น
ได้รับการยอมรับขนาดนี้ ทำไมจึงเปลี่ยนใจกลับเมืองไทย
ผมคิดว่าความกตัญญูต่อพ่อแม่สำคัญกว่า พวกท่านแก่มากแล้ว ถ้าท่านเป็นอะไรไป แล้วเราจะกลับมาทันดูใจไหม การอยู่อเมริกาก็แค่สบายกาย แต่เรื่องใจสู้เมืองไทยไม่ได้ ในสายตาของพวกมะกัน เราเป็นแค่ประชาชนชั้นสาม อีกอย่างผมอยากกลับเมืองไทยเพื่อทดแทนพระคุณแผ่นดิน
ทิ้งองค์การนาซ่า กลับมาทำอะไรที่เมืองไทย
หลังใช้ชีวิตอยู่อเมริกานาน 10 ปี ผมกลับเมืองไทยตอนอายุ 30 ปี กลับมาถึงก็เป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ รับเงินเดือน 7,000 บาท สอนอยู่ 6 ปีเต็มๆ
แล้วมาพบรักกับธรรมะได้อย่างไร
ผมเป็นคนชอบเรียนรู้นะ ผมเห็นว่าการอยู่เมืองไทย จุดแข็งคือมีหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์เก่งๆเยอะ เหมาะกับการเรียนรู้พุทธศาสนามากที่สุด ผมอยากรู้ว่าที่คนพูดถึงชาติภพ นรกสวรรค์ มันมีอยู่จริงหรือเปล่า ผมเริ่มจากการอ่านหนังสือธรรมะ แต่สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์อย่างผมก็ค้นพบว่าการอ่านอย่างเดียวไม่เวิร์กหรอก เพราะจะตีความเข้าข้างตัวเอง ต้องลงมือปฏิบัติจริงด้วย และต้องมีครูบาอาจารย์ บังเอิญมีเพื่อนเป็นทหารอากาศ พาไปเจอหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร ผมเลยตัดสินใจลาออกจากจุฬาฯ เพราะเบื่อระบบการบริหารของมหาวิทยาลัย ผมว่าเราไม่ได้ช่วยแผ่นดินเท่าไหร่ ไม่ได้เต็มศักยภาพของอาจารย์ ผมจึงหันมาศึกษาพุทธศาสนาจริงจัง
...

ค้นพบแสงสว่างอะไรในพุทธศาสนา
ผมพบว่ามันใช่เลย!! ผมปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ จนถึงจุดที่เรียกว่าการค้นพบคือการไม่ค้นพบ ธรรมะทำให้ผมเปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนเป็นคนใจร้อน ขี้โมโห ชอบจับผิดชาวบ้าน แต่ตอนนี้เบาขึ้นเยอะ ไม่ยุ่งแล้ว ไม่ผูกกรรมแล้ว การปฏิบัติธรรมถือเป็นการลงทุนข้ามชาติ
สำหรับมือใหม่อยากปฏิบัติธรรมต้องเริ่มต้นยังไง
ก่อนอื่นเลยควรมีหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่ชัดเจน อย่าดื้อ!! แต่ถ้าหาผิดก็ซวยไปนะ ผมมีอาจารย์ที่ศรัทธาอยู่ 2 องค์คือ หลวงพ่อกล้วย ที่ขอนแก่น และหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม ที่วังน้ำเขียว อยากประสบความสำเร็จ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม คุณต้องมีครู มีอาจารย์เป็นผู้ชี้แนวทางเพื่อไม่ให้หลงทาง เข้าไปแล้วฝึก อย่าถามมาก อย่าดื้อ ลองสักตั้ง ถ้าไม่ใช่ค่อยเปลี่ยนสำนัก วัดที่ดีเจ้าอาวาสต้องใจกว้าง ไม่โฆษณาตัวเอง บ้านเรามีแต่นักคิดนักวิจารณ์ ไม่มีนักลงมือทำ คนไทยส่วนใหญ่ขี้เกียจและมักง่าย คิดว่าจะอ่านหนังสือ แล้วนิพพานวันนี้เลย เป็นไปไม่ได้!! หรือทำบุญวันนี้แล้วขึ้นสวรรค์เลย ไม่มีทางหรอก ระบบการศึกษาของเราต้องเน้นให้เด็กคิดน้อยๆทำมากๆ
อะไรคือแก่นแท้ของคำว่า “สำเร็จ... ได้อีก”
ทางโลกก็สมบูรณ์แบบ ทางธรรมก็ขยับเข้าใกล้นิพพานขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะมนุษย์เงินเดือน การทำงานให้สนุกและมีความสุข ต้องคิดซะว่ากำลังบวชอยู่กับงาน การทำงานคือการสะสมสติ และทดสอบอารมณ์ เวลามาทำงานคือเรามาปฏิบัติธรรม 9 ชั่วโมง ใครมาชวนโมโห เรารู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ไหม ปัญหาทุกอย่างถือเป็นแบบฝึกหัด ผมเชื่อว่าธรรมะแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันได้ ไม่จำเป็นว่าจะปฏิบัติธรรมต้องไปวัด แต่ขอให้ยกวัดมาไว้ในออฟฟิศ อยากให้ถามตัวเองว่าเราทำงานที่ออฟฟิศมีเมตตาธรรมต่อกันไหม เคยแบ่งปันให้กันไหม เจ้านายต้องหัดมีเมตตาต่อลูกน้อง อย่าใจแคบ อย่าเห็นแก่ตัว ต้องทำให้ออฟฟิศเป็นแฮปปี้เวิร์กเพลส ไม่ใช่บ้าจะเอาโบนัส บ้าจะกดขี่ลูกน้อง ออกไปช่วยคนอื่นบ้าง ให้เวลาตัวเองได้เรียนรู้ธรรมะบ้าง ทำทาน รักษาศีล มีสมาธิ ภาวนา และจิตอาสา
หลักธรรมสำคัญข้อใดที่ควรนำมาใช้ในการทำงาน

ไม่จี๊ดใครในองค์กรก็พอแล้ว หายใจลึกๆทำใจให้สงบ ถ้าใจไม่สงบอย่าเพิ่งทำอะไร อย่าเพิ่งคุยกัน จะทำให้ทะเลาะกันเปล่าๆ จิตเปรียบเหมือนลูกตุ้ม ลูกตุ้มจะแกว่งเป็นบวกหรือลบ ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของเราที่เข้ามาสะกิด คนที่จิตหยาบจะจี๊ดง่าย เพราะไม่เห็นรายละเอียด จะตีความเอง พูดผิดหูนิดเดียวก็จี๊ดแล้ว ถ้าคุณเป็นคนสังเกตน้อย กรุณาอย่าวิจารณ์ใคร โอกาสพลาดสูง คุณเครียดในออฟฟิศ ก็ระเบิดอารมณ์กับลูกกับผัว มันก็เละทั้งครอบครัว บ้านหนึ่งเครียดไปด่าอีกบ้านก็เครียด แค่ทุกคนไม่จี๊ด ประเทศนี้ก็เจริญแล้ว หลักสำคัญคือ คบบัณฑิตห่างไกลคนพาล อยู่ในภูมิประเทศอันควร บูชาผู้ควรบูชา มีศิลปศาสตร์ พหูสูต ทำใจให้ผ่องใส
เจ้าแห่งหลักบริหารแบบพุทธะ วาดภาพว่าองค์กรในฝันต้องเป็นยังไง
ถ้าสันดานคนในองค์กรดี นิสัยดี ไม่ตอแหล ไม่เลื่อยขา ไม่นินทาว่าร้าย ไม่เห็นแก่ตัว องค์กรนั้นก็ต้องดีอยู่แล้ว หลายๆองค์กรหลงไปกับวุฒิการศึกษา เกรด ปริญญา โดยไม่แคร์เรื่องนิสัย องค์กรจะดีได้ต้องอาศัยพนักงานที่อดทน มีวินัยทางการเงิน ควบคุมอารมณ์ได้ มีจริยธรรม ขยัน และใฝ่รู้
ในสังคมที่เงินเป็นพระเจ้า มีวิธีปลูกธรรมะในใจเยาวชนรุ่นใหม่อย่างไร
สื่อมวลชนต้องพยายามลงข่าวดีๆบ้าง ไม่ใช่นำเสนอแต่ข่าวมัวเมา ชิงรางวัลทุกชั่วโมง เด็กสมัยนี้ถูกปั่นให้มองหาความสำเร็จชั่วข้ามคืน คนที่ประสบความสำเร็จเร็วบั้นปลายฉิบหายก็เยอะ เพราะจะหลงในอำนาจ กิเลสเข้ามาเร็วเกิน จะคิดว่ากูทำ ได้ๆคนอื่นโง่หมด น้ำใจหายหมด เด็กที่ออกมาทำชั่วเกิดจากปัญหาครอบครัว พ่อแม่เลี้ยงลูกไม่เป็น แล้วเขาก็ให้อภัยพ่อแม่ไม่ได้ ทำประชดเยอะ ผมอยากรณรงค์ให้มีชมรมพ่อแม่ สอนพ่อแม่ไม่ให้จี๊ด พ่อแม่ต้องอดทนมากๆ ต้องเป็นกัลยาณมิตรของลูก ไม่ใช่ข่มเหงบังคับลูก ความขี้โมโหใจร้ายเป็นสิ่งปนเปื้อนทางอารมณ์ สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นความคับข้องใจ แล้วมาระบายที่ลูก
จนถึงวินาทีนี้ยังมีอะไรค้างคาที่อยากทำไหม
ปีนี้ผมอายุ 54 แต่เกษียณตัวเองตั้งนานแล้ว ไม่เคยคิดว่า งานทุกวันนี้เป็นการทำงาน แต่คิดว่าเป็นของแถม ทำไปแล้วจะได้ไม่เครียด ทุกวันนี้ผมคิดอย่างเดียวว่าเราได้ทำประโยชน์ให้คนอื่นหรือยัง กตัญญูต่อผู้มีพระคุณหรือยัง ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่หรือยัง ดูแลประเทศนี้ดีหรือยัง ผมก็พยายามทำทุกอย่างเต็มที่ อยู่ไปเพื่อสอนคนแนะนำคน แต่ไม่เน้นสอนคนให้อ่านๆๆคิดๆๆ แต่สอนให้กล้าทำในสิ่งที่ดี กล้ามีครูบาอาจารย์
...

ให้คะแนนตัวเอง ประสบความสำเร็จทางธรรมถึงระดับไหนแล้ว
ไม่รู้!! ผมเป็นตัวอาลูมิไลต์ คือ เป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่มีศาสนา เพราะทุกศาสนาเหมือนกันหมด ขึ้นยอดเขาเดียวกัน แต่คนละทาง หลักธรรมเดียวกันเป๊ะ ทุกอย่างเป็นบุญบารมีวาสนา อย่ามองชาตินี้เท่านั้นให้มองข้ามชาติ เราเวียนว่ายตายเกิดเป็นแสนๆล้านๆครั้ง อย่าไปติดยึดกับชาตินี้ ตั้งหน้าตั้งตาสะสมความดี สะสมสติ ทานศีลภาวนา เดินตามทางมรรคมีองค์ 8 เข้าเป้าแน่นอน ตายไปไม่เสียชาติเกิด ตอนนี้ผมยิงธนู คนฝึกธนูจะไม่สนใจเรื่องเป้า แต่จะสนเรื่องฟอร์ม ท่าทางการยิงมากกว่า ถ้าฝึกดี จิตใจดี ลูกธนูเข้าเป้าเองอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม มรรคมีองค์ 8 จะอยู่ในสมองและจิตใจของผมตลอดเวลา ผมเชื่อว่านี่คือสุดยอดเคล็ดลับ ลองถามตัวเองว่าคุณคิดชอบหรือยัง, เห็นชอบหรือยัง, วาจาชอบหรือยัง, ประพฤติชอบหรือยัง, อาชีพชอบหรือยัง, ความเพียรชอบหรือยัง, ระลึกชอบหรือยัง และตั้งมั่นชอบหรือยัง.
ทีมข่าวหน้าสตรี