นอกจากมีอาการช็อกไปตามๆ กัน หลังจากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดและให้ดำเนินคดีอาญา กับบริษัทของนักเล่าข่าวชื่อดัง รวมทั้งกรรมการบริษัท นักเล่าข่าวชื่อดัง และเจ้าหน้าที่บริษัท ฐานยักยอกเงินโฆษณาที่ได้รับเกินกว่าสัญญาที่ทำไว้กับช่องทีวีของรัฐ ทำให้ได้รับความเสียหายถึง 138,790,000 บาทนั้น บางสื่อก็ให้ความสนใจ แต่อีกหลายสื่อก็นิ่งเฉย โดยเฉพาะองค์กรควบคุมสื่อ แม้กระทั่งต้นสังกัดของเขา

คำถามก็คือ เหมาะสมหรือไม่กับคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ กลับมาทำทุจริตร้ายแรงเสียเอง!!!

ในสภาวะสังคม ประชาชน และอาชีพสื่อมวลชนพะอืดพะอม บางคนให้กำลังใจ แต่หลายคนออกอาการหมดความหวัง ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสได้พูดคุยกรณีนี้กับ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการชื่อดัง ปรมาจารย์สื่อสารมวลชนชั้นนำของประเทศไทย นอกจากวิเคราะห์เหตุการณ์ที่สะเทือนสังคมไทยแล้ว ยังร่วมกันหาทางออกให้กับสถานการณ์ 

Q : ในฐานะสื่อมวลชน มองกรณีสื่อมวลชนชั้นนำโดน ป.ป.ช.ชี้ชัดเจนนี้อย่างไร มองแบบแยกส่วนได้ไหม หรือว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน

A : กรณีที่โดน ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าโดนในฐานะที่เขาเป็นนักธุรกิจ เจ้าของบริษัท แต่บังเอิญเรื่องนี้เขาดันประกอบอาชีพสื่อสารมวลชน ฉะนั้น การทุจริตของบริษัทของเขากับช่องทีวีของรัฐ และตัวเขาจึงเป็นเรื่องเดียวกันไม่ต้องแยก รวมๆ แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นการทุจริตทั้งนั้น เหมือนกับผมก็มีบริษัทก็ต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง แม้แต่ไม่มีบริษัทยังไงก็ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา

ฉะนั้น ถ้าพูดว่าทุจริตแล้วก็ไม่ต้องไปพูดถึงหลักจรรยาบรรณสื่ออะไร เนื่องจากการทุจริตมันผิดกฎหมาย ช่องของรัฐก็ต้องดำเนินการต่อไป เพราะ ป.ป.ช.ก็ทำหน้าที่ให้แล้ว แต่ถ้ามองในฐานะเขาที่เป็นสื่อ ประกอบอาชีพสื่อสารมวลชน รายการที่เขาทำตอนอยู่ช่องดังกล่าว ถามว่าเขาได้ประกอบกิจการที่เป็นการทุจริตหรือไม่ ก็ไม่มี เพราะว่าเขาก็ไม่ได้สื่อสารเรื่องราวที่เป็นการรับเงิน หรือว่า ไม่ได้ปกปิดความจริง บิดเบือนความจริง หรือสอดแทรกข่าวผสมโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ความจริงให้กับประชาชน

...

พูดง่ายๆ เนื้อหาที่เขาสื่อออกไปตอนอยู่ที่เดิมนั้นไม่พบพฤติกรรมดังกล่าว แต่เป็นการทำธุรกิจของเขาในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว ไม่ใช่ผิดเรื่องเนื้อหาสื่อ แต่เป็นเรื่องของบุคคลที่ประกอบอาชีพสื่อแล้วไปทุจริตเรื่องธุรกิจ ถ้าเกิดเขาไปรับเงินแล้วเอาข่าวที่บิดเบือนมาออกอากาศจึงจะเป็นการผิดเรื่องจรรยาบรรณสื่อ

'ต้องลาออกเพื่อเกียรติวิชาชีพ...' ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สอนจรรยาบรรณสื่อมวลชน!

Q : โดยสากลแล้ว ถ้าโดนชี้ว่าทุจริต หากเป็นอาชีพนักการเมืองจะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ กรณีนี้หลายคนสงสัยทำไมจึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆ...?

 

A : เรื่องจรรยาบรรณทุกอาชีพเป็นเรื่องของจิตสำนึก ไม่ใช่กฎหมาย แต่ว่ากฎหมายจะลงโทษกิจกรรมที่ทำทุจริต ประพฤติมิชอบ “จรรยาบรรณเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่ต้องคิดเอาเอง” ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งตัวเขาเอง ก็ต้องคิดเองว่าควรจะออกจากกิจกรรมที่ควรทำอยู่ พูดง่ายๆ โดนหลักแล้ว “เขาต้องลาออก เพราะว่ามันทำให้ผู้ประกอบอาชีพสื่อสารมวลชนเสื่อมเสีย” แม้ว่าตัวเองจะทำเรื่องธุรกิจเสื่อมเสียก็ตาม โดยจรรยาบรรณควรลาออก แต่ไม่มีใครบังคับได้ แม้แต่สภาวิชาชีพก็ทำไม่ได้ มติชนก็ยังดื้อเลย (หัวเราะ)

กรณีนี้เจ้าตัวต้องตัดสินเอง เพื่อยังไว้ซึ่งเกียรติของตัวเองและวิชาชีพที่ทำให้ตัวเองมีโอกาสในสังคมเป็นทางออกแรก ทางต่อมาสาธารณชน ประชาชนอย่างเราๆ ที่รับข้อมูลข่าวสารของเขาในฐานะสื่อต้องไม่รับ ปิดโทรทัศน์ไม่ดู และกล่าวประณามประกาศให้ทราบทั่วถึงกันว่าไม่ดู ไม่รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่มีกิจการทุจริต หรืออาจจะรวมตัวกันว่าไม่รับเขา และที่สำคัญโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ไม่ต้องลงโฆษณากับเขา แป๊บเดียวเขาก็ต้องหยุดอยู่ดี เพราะว่าไม่มีโฆษณาและไม่มีคนดู

Q : ส่วนของสถานีโทรทัศน์..?

A :
ต้องเริ่มจากบริษัทต้นสังกัดปัจจุบันก่อน เพราะว่าเขาเป็นรับจ้างทำรายการให้ ส่วนเขาจะเป็นผู้บริหารด้วยหรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผู้บริหารยิ่งยุ่งกันใหญ่ ซึ่งต้นสังกัดปัจจุบันต้องตัดสินใจว่าจะเอารายการที่สังคมปฏิเสธเอาไว้ทำไม ควรจะปฏิเสธไม่เอาเขา และรายการของเขาเลย ทำก่อนสาธารณชนจะปฏิเสธ หรือบอยคอต เพราะถ้าประชาชนบอยคอต โฆษณาบอยคอต มันก็จบหมดแล้ว เขาก็ไม่ต้องตัดสินใจ ต้นสังกัดปัจจุบันก็ไม่ต้องตัดสินใจอะไร เพราะประชาชนเขาตัดสินให้แล้ว ฉะนั้น วิธีที่ฉลาดก็คือการใช้จรรยาบรรณวิชาชีพโดยส่วนตัวที่มีจิตสำนึกตัดสินไปก่อน เจ้าตัวตัดสินใจลาออกไปก็จบ ไม่ต้องเว้นวรรคแล้ว ลาออกไปเผชิญคดีเอา ทางช่อง คนดู บริษัทผู้ลงโฆษณาก็สบายใจกันทุกฝ่าย

'ต้องลาออกเพื่อเกียรติวิชาชีพ...' ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สอนจรรยาบรรณสื่อมวลชน!

Q : ปรากฏการณ์สื่อมวลชนที่ดังที่สุดของประเทศถูกลงมติว่าทุจริต ทั้งที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ สะท้อนอะไร...?

A :
มีชื่อเสียงก็มีชื่อไป ใครๆ ก็มีชื่อเสียงทั้งนั้นแหละ ในรูปแบบของแต่ละบุคคล ความมีชื่อเสียงไม่ได้รับประกันว่าผู้มีชื่อเสียงคือคนดี หรือคนเลว ผู้มีชื่อเสียงคือคนที่ได้ยินได้เห็นได้ฟังบ่อยๆ เพราะว่าปรากฏตัวในสื่อ ถ้าเป็นเจ้าของกิจการด้วย เป็นเจ้าของรายการด้วย มันก็เหมือนกับผมยุคหนึ่งใช่ไหม เขาเป็นแค่คนดังธรรมดา เป็นคนสาธารณะที่คนเห็นบ่อยๆ ไม่ได้แปลว่าผมหรือว่าเขาหรือคุณเป็นคนดีหรือคนเลว ไม่ใช่ การปรากฏตัวบ่อยๆ มีข้อเสียด้วย ข้อดีคือคนรู้จักคนชอบ ไปไหนคนชื่นชม เอาข้าวให้กิน คนไปพูดยกย่อง แต่ข้อเสียก็คือคุณก็มีประทับตรานะว่าคุณเป็นคนมีชื่อเสียง เพราะว่าสังคมเขายกย่อง เวลาคุณทำตัวเองไม่ดี มันก็เท่ากันเลยการที่อยู่ในสื่อตลอดเวลาแล้วทำตัวไม่ดีเนี่ยมันก็เป็นความไม่ดีที่เผยแพร่เท่ากับชื่อเสียง คือมีชื่อเสียงในทางไม่ดี มันมีทั้งบวกและลบ ไม่ใช่ของดีตลอด

Q : กรณีนี้บอกว่า ได้คืนเงินไปให้ต้นสังกัดเก่าแล้ว เพียงพอหรือไม่...?


A : ฟ้องหรือไม่ฟ้องเรื่องของคู่กรณี หมายความว่าเขาไม่มีสิทธิ์เพราะมันเป็นเรื่องของกฎหมาย ถ้าต้นสังกัดเก่าจะฟ้อง กฎหมายก็รับแล้วก็ว่ากันไป ส่วนการทุจริตมันเกิดก่อนและมีความด่างพร้อยทางวิชาชีพมันอาจจะไม่ใช่ความผิดกฎหมายหรือว่าใช่ก็ไม่รู้ เพราะยังมาไม่ถึง แม้ว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลคดีก็ไม่เสร็จ แต่อย่าลืมว่าจรรยาบรรณมันมาก่อนกฎหมาย จรรยาบรรณเป็นวัฒนธรรมของวิชาชีพ มันเป็นวิถีชีวิต ไม่ต้องคอยกฎหมายแล้วสังคมก็ไม่รอกฎหมายหรอก เวลาเขาจะเปลี่ยนคุณผมก็เปลี่ยนเลย เวลาเขาจะไม่พอใจคุณเขาก็ไม่พอใจเลย เวลาเขาจะตำหนิประณามหรือชม เขาก็ไม่คอยอัยการหรือว่าตำรวจสั่งฟ้องหรือว่าผู้พิพากษารับเป็นคดีหรอก

Q : ประเด็นเรื่องที่หลายคนพูดถึง กรณี ป.ป.ช.ระบุว่าได้มีการแนะนำให้พนักงานธุรการแก้ไขใบคิวโฆษณาและให้เงินเป็นการตอบแทน ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่ได้ให้คำแนะนำ ส่วนเช็คที่ติดสินบนพนักงานธุรการนั้น เป็นการลงนามเพื่อเบิกจ่ายค่านายหน้าประสานงานโฆษณาตามปกติ มีการจ่ายโดยหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างถูกต้อง ในฐานะอาชีพตรวจสอบพวกทุจริตฟังแล้วรู้สึกอย่างไร...?


A : ตอนนั้นเขาทำหน้าที่นักธุรกิจ นักธุรกิจก็คอรัปชันแทบทั้งนั้นนะ การทำมาหากินกับทีวีช่องต่างๆ คุณลองไปถามบริษัทต่างๆ จะได้หรือว่าจะเสียเวลาแต่ละปี มีปัญหาทุกปี ก็ต้องมีวิธีคุณจะได้หรือไม่ได้เวลาต้องคุยกัน แต่เขาไม่คุยกับข้างบนแต่เล่นกับพนักงานซึ่งอยู่เป็นคนกลาง ถูกจับได้ข้างบนเขาก็เอาก็ลุย เรื่องมันเป็นแบบนั้น อย่างที่บอกผมคิดว่าเคสนี้ต้องแยกกันระหว่างคนทำธุรกิจ กับเนื้อหาการสื่อสารต่อสังคม

...

'ต้องลาออกเพื่อเกียรติวิชาชีพ...' ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สอนจรรยาบรรณสื่อมวลชน!

Q : หากไม่มีการแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือทำอย่างหนึ่งอย่างใด เนื้อหาที่เขาสื่อสารนับจากนี้ประชาชนจะเชื่อถือได้หรือไม่...?

A : จริงๆ เนื้อหารายการเขาไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว มันไม่เกี่ยวกับทุจริตหรือว่าพฤติกรรมอะไร รายการเขาเป็นข่าวที่เชิงบันเทิง รายการเอามันๆ เพลินๆ ข้อเท็จจริงผิดถูกเขาก็ไม่ยืนยัน เขาจะรายงานตามที่มีความรู้สึกที่จำได้ เชื่อว่า หรือยังไง เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่า หรือว่าถ้าทำไม่ผิด หรืออย่างไร เดี๋ยวเราต้องตามดูต่อไป เขาก็ว่ากลอนสดไปเรื่อยๆ กับข้อมูลที่จำได้ แล้วก็มีผู้สื่อข่าวรายงานมาบ้าง อ่านจากหนังสือพิมพ์บ้าง มันจึงไม่ใช่รายการข่าวสารที่น่าเชื่อถือได้ตั้งแต่ต้น ถ้าคนดูเอามันก็ว่าไปเถอะ ไม่ควรต้องดูในแต่ละวันเพราะว่าเนื้อมันน้อยน้ำมันมากความรู้สึกความไม่มั่นใจในความถูกต้องจะเกิดตลอดเวลา ทุกๆ ครั้งเราได้ยินว่า ถ้าผมจำไม่ผิด หรือถ้ารายงานไปเรื่อยเป็นตุเป็นตะ สุดท้ายก็จบว่าหรืออย่างไร มันสะท้อนให้รู้ว่าเขาไม่รู้จริงไง ซึ่งเป็นอันตรายในแง่ของการให้ความจริงดูเอาก็ได้เพลินๆ มีดาราตลกออกมาร้องเพลงบ้างก็ได้

ถามว่าเรียกเขาว่าสื่อมวลชนได้ไหม ได้เพราะว่าเขาทำหน้าที่สื่อข้อมูลข่าวสารไปยังมวลชน แต่ว่าเป็นสื่อมวลชนที่ไม่ได้มีองค์กรที่นำเสนอหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นการแสดงเดียวของเขาจากข้อมูลที่เขามีหรือว่าจำได้หรือว่าเท่าที่ไปเห็น สมมติเดินทางไปซอยที่น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว เท่าที่เห็นก็คือซ้ายขวา เล่าให้ฟัง ส่วนในบ้านหลังบ้านถ้าไม่เข้าไปก็ไม่เห็น แล้วก็ใช้อารมณ์และความรู้สึกนำ ฉะนั้น ข้อมูลที่เราได้รับจากเขาก็มีจริงบ้างไม่จริงบ้าง มันก็เพลินไป ไม่ใช่รายการข่าวอย่างแท้จริง

...

'ต้องลาออกเพื่อเกียรติวิชาชีพ...' ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สอนจรรยาบรรณสื่อมวลชน!

Q : ประชาชนควรจะมีทีท่าอย่างไรนับจากนี้เป็นต้นไป...?

A : โดยบุคคล ก็ปฏิเสธไม่ดูไม่เชื่อถือหรือว่ารวมตัวกันเป็นกลุ่ม แล้วก็แสดงความเห็นอันนี้เป็นหน้าที่ของสาธารณชนหลักนะ ไม่ใช่เพราะผมบอกแต่ประชาชนต้องมีปฏิกิริยา ไม่ดูไม่ชอบ ไม่ต้องไปบอกว่าเราจะไปร่วมพลังต่อต้าน แค่บอกว่าเราทุกคนไม่ดู ส่วนพวกโฆษณาสินค้าทั้งหลายก็ไม่ต้องลงโฆษณาก็จบมันก็จบ พลังสาธารณะเข้มแข็งมันก็จบเร็ว ถ้าเจ้าของช่องกล้ามันก็ยิ่งจบเร็ว ช่องก็จะได้ชื่อเสียงมากขึ้น ผมเตือนด้วยความรักเลยว่า เขายิ่งอยู่ทำให้ช่องยิ่งเสื่อมลง อันนี้น่าจะเป็นอย่างไรนั้น เพราะว่าในประวัติศาสตร์ของโทรทัศน์โดยธรรมชาติของมันแล้วไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าอยู่แล้ว

ต่อให้ดังอย่างไร พอถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนทุกคน ไม่ว่าเขาหรือผม เพราะสังคมก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ซึ่งถ้าสถานการณ์ปกติเขาก็จะอยู่ไปได้อีกหน่อย แต่วันหนึ่งก็ต้องมีจุดจบ ใครจะมานั่งดูรายการเดียวไปตลอด 50 ปี เชื่อว่าไม่มีหรอกทำใจเถอะ ลองนึกภาพเล่นๆ ถ้าเขาต้องนำนักการเมืองคอรัปชันมาสัมภาษณ์ ถ้านักการเมืองที่ถูกถามเรื่องคอรัปชัน นักการเมืองก็ต้องถามกลับไปยังผู้สัมภาษณ์แล้วคุณล่ะ คงสนุกดี

Q : สุดท้ายกรณีนี้ถ้าเป็นคุณจะแก้ไขอย่างไร...?

A : ผมว่าลำบากเพราะว่ามันคนละชีวิตกันนะ ก็อย่างที่แนะนำเราต้องหยุดเพราะว่าสังคมมองเห็นแล้วนะว่าเราทำผิดกรอบจรรยาบรรณวิชาชีพ ส่วนเรื่องคอรัปชันจริงหรือไม่จริง ให้เงินแล้วไม่ผิดหรือไม่ผิด ก็แล้วแต่ไปทำคดีกัน ตังค์ก็มีตั้งเยอะแยะไปหุ้นซื้อตึกทำอะไรก็ทำไป ไปตั้งสถานีใหม่ก็ได้ เงินก็มีเยอะแยะอย่ายึดติดเลย.

...

ไทยรัฐออนไลน์ติดต่อขอสัมภาษณ์เจ้าตัวผ่านเลขาแต่ได้รับการปฏิเสธในการให้สัมภาษณ์.