'พรุ่งนี้น้ำมันลดราคา' คำทักทายที่ใครในยุคนี้ก็อยากจะได้ยิน แต่ด้วยสมการราคาน้ำมัน 'ขึ้น 60 ลง 30' เป็นโค้ดลับสั้นๆ แต่ได้ใจความสะท้านไปถึงข้างใน (กระเป๋าเงิน) ของใครทั้งหลายคน...

แต่ในเมื่อเราเป็นคนไทยที่ต้องใช้น้ำมันดิบจากต่างชาติ ก็คงหลีกหนีราคาตลาดโลกที่ผันผวนเสียไม่ได้ ก็ต้องก้มหน้ายอมรับมันไป แม้ในความเป็นจริง คำว่า 'ผันผวน' น่าจะฟังดูคล้ายขึ้นๆ ลงๆ แต่ราคาน้ำมันในบ้านเมืองเรามันเลือกจะ 'ผันผวนขึ้น' ซะมากกว่านะสิ...พับผ่า

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ขอชวนผู้อ่านไปตามหาเคล็ด (ไม่) ลับ ในการแก้เผ็ดราคาน้ำมันกันดีกว่า อยากแพงดีนัก แบบนี้ต้องหาวิธีเอาคืนซะให้เข็ด! จะได้รู้เสียบ้างว่าไผ๋เป็นไผ๋...

เช้ามืดเริ่มปฏิบัติการได้!!...

เริ่มกันที่มาตรการแรก ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เปิดตลอดคืน ก็มักจะกลับมาเปิดอีกครั้งช่วงเวลาประมาณตี 5 ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นบ่อยครั้งว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เขาใช้ปรับราคาน้ำมันอย่างเป็นทางการนั่นแหละ

ช่วงเวลาของการเติมน้ำมันช่วงเช้ามืดถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุด เพราะในขณะที่อุณหภูมิโดยรอบยังค่อนข้างต่ำอยู่ ทำให้น้ำมันยังอยู่ในลักษณะไม่พองตัว ทำให้เชื่อว่าเมื่อน้ำมันวิ่งผ่านหัวจ่ายในระยะเวลาเท่ากันจะทำให้ได้ปริมาณน้ำมันที่มากกว่านั่นเอง

...

จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน...เติมช้าๆ ก็ได้

ที่หัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าใครเคยสังเกตจะพบว่า เมื่อเวลาเด็กปั๊มเริ่มกดปล่อยน้ำมันจะได้ยินเสียงดัง แก๊กๆ ซึ่งนั่นมันคือระดับของอัตราการจ่ายน้ำมันนั่นเอง ช้าหรือเร็วแล้วแต่อารมณ์น้องเขาเลย

แต่อยากบอกว่า การเติมน้ำมันด้วยความเร็วมันกลับไม่ส่งผลดีเอาซะเลย เพราะมันจะทำให้น้ำมันแปลงสัญชาติเป็นไอระเหย และในท้ายที่สุดมันก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในถังเก็บเช่นเดิม ทั้งที่มันเพิ่งวิ่งผ่านมิเตอร์หัวจ่ายมาเมื่อตะกี้นี้เอง

วาทะศิลป์เป็นสิ่งสำคัญซะแล้ว บอกน้องเด็กปั๊มไปเลยว่า 'น้องๆ พี่ไม่รีบ' ขอแบบช้าๆ แต่ชัวร์ละกัน ถ้าหากเติมตามกฎข้อแรกตั้งแต่เช้ามืด รถยังไม่เยอะ น้องเด็กปั๊มเขาอาจอารมณ์ดี๊ดีจัดแบบสโลโมชั่นเน้นๆ ให้ก็เป็นได้

เติมเต็มถัง หรือก้นถังพอ?? ตามความเชื่อ

การเติมน้ำมันให้เต็มถัง หรือแค่พอใช้นั้นยังแปลกแยกเป็น 2 แนวคิด อย่างแรกการเติมเต็มถังด้วยความเชื่อที่ว่าเพื่อลดปริมาณช่องว่างและอากาศในถังน้ำมันอันเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้น้ำมันมลายกลายเป็นวิญญาณหายวับไปได้ในท้ายที่สุด

ส่วนอีกแนวคิดดูมีน้ำหนักของเหตุผลมากกว่าคือ การเติมน้ำมันแค่พอใช้ก็พอแล้ว เต็มถังก็ต้องแบกน้ำหนักอีก รู้หรือไม่น้ำมัน 1 ลิตรจะหนักประมาณ 737 กรัม ถ้าเต็มถังสัก 50 ลิตร ก็เท่ากับมีน้ำหนัก 36.85 กก. ถ้าเติมแค่ครึ่งถังเท่ากับลดน้ำหนักได้สิบกว่ากิโลฯ เลยทีเดียว ใครชอบวิธีไหนก็เลือกเอาได้เลย

ห้ามพูดคำว่า 'เต็มถัง' จนติดปาก!!

การบอกเด็กปั๊มว่า 'เต็มถัง' ถือเป็นมหันตภัยร้ายกับกระเป๋าสตางค์อย่างร้ายกาจ เพราะการเติมน้ำมัน โดยนั่งรอคอยให้หัวจ่ายตัดเองมันก็ให้เกิดการจ่ายที่เรียกว่า 'จ่ายฟรี'

เมื่อหัวจ่ายตัด เพราะเซ็นเซอร์ตรวจจับแล้วพบว่าน้ำมันในถังอยู่ในปริมาณสูงสุดแล้ว ก็จะหยุดจ่ายน้ำมันทันที แต่น้ำมันในสายส่งละ...ไปไหน แน่นอนมันถูกดูดกลับไปยังที่มันวิ่งออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมตอนขากลับผ่านมิเตอร์แบบย้อนซ้อน แต่ตัวเลขบนนั้นกลับไม่ลดลงตามซะอย่างงั้น...ง่ายๆ ก็ 'จ่ายฟรี' ไง

...

สอดส่ายสายตา หาปั๊มเติมเอง

หากใครเคยสงสัยว่าไอ้ปั๊มนี้ทำไมไม่เห็นมีเด็กปั๊มมาคอยยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่แถวๆ หัวจ่าย แต่กลับพบสิ่งมีชีวิตเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่หน่อนั่งอยู่ในตู้เหลี่ยมๆ ล่ะก็ ให้พึงสันนิษฐานได้เลยว่าปั๊มนี้ 'กรุณาบริการตัวเอง'

ครั้งแรกๆ อาจมีตื่นเต้นบ้างตามภาษาคนไม่เค้ยไม่เคย แต่แนะนำให้ลองซะ เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว ราคาน้ำมันยังถูกกว่าปั๊มทั่วไป 20-30 สตางค์ต่อลิตรเชียวนะ หรือเท่ากับราคาลดลงไป 1% นั่นแหละ

ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ใช่การเอาเปรียบผู้ค้าขายน้ำมัน แต่เป็นการลดช่องว่างที่ปั๊มน้ำมัน เคยได้เปรียบเรามาเนิ่นนานต่างหาก ทุกวันนี้อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่เปลี่ยนไปมาก จนเราไม่คุ้นเคย ดังนั้น พฤติกรรมของผู้บริโภคก็น่าจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน.