แม้ราชอาณาจักรภูฏานจะเป็นเพียงดินแดนเล็กๆบนแผนที่โลก ที่มีประชากรอยู่ 700,000 คน แต่เรื่องราวความรักที่สุดแสนโรแมนติกระหว่างคู่อภิเษกสมรสคู่ใหม่แห่งเทือกเขาหิมาลัย “สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก” กษัตริย์หนุ่มผู้ทรงอ่อนเยาว์ที่สุดในโลก พระชนมพรรษา 31 พรรษา กับลูกสาวนักบินสายการบินคิงฟิชเชอร์ แอร์ไลน์ส วัย 21 ปี “เจ็ตซัน เปมา” นักศึกษาปริญญาตรี ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยรีเจนท์ส คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้กลายเป็นตำนานรักบทใหม่ระหว่างกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์กับหญิงสาวสามัญชน ที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดทั่วโลกในวินาทีนี้ เปรียบไปแล้วก็ไม่ต่างจาก “เจ้าชายวิลเลี่ยมกับเคท มิดเดิลตัน” แห่งเอเชีย

พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์จิกมี กับหญิงสามัญชนผู้โชคดีที่สุดในโลก ได้ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและสมพระเกียรติตามแบบฉบับโบราณราชประเพณีของราชวงศ์วังชุก เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2554 ตามมงคลฤกษ์เวลา 08.20 น. และดำเนินต่อเนื่องยาวนานถึง 4 ชั่วโมงเต็ม ณ พระอารามหลวง ภายใน “พูนาคาซอง” ป้อมปราการเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 17 ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองพูนาคา เมืองหลวงเก่าของราชอาณาจักรภูฏาน ท่ามกลางเสียงประโคมกลอง แตร และการร้องเพลงเฉลิมฉลองสดุดีอย่างเอิกเกริก โดยมีพระราชาคณะแห่งภูฏาน “เช เคนโป” เป็นผู้นำประกอบพิธีทางศาสนาต่อหน้าแผ่นพรมพระรูปของ “ซับดรุง” องค์ลามะผู้ก่อตั้งและรวมประเทศภูฏานตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ขณะที่พระราชบิดาของกษัตริย์จิกมี “สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก” อดีตกษัตริย์องค์ที่สี่ของภูฏาน ทรงรับขวัญพระสุณิสาด้วยการพระราชทานผ้าพันคอยาว 3 ผืน ประกอบด้วยสีขาว-น้ำเงิน-เขียว เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนคำอำนวยพรจากสุสานฝังพระศพอดีตบุรพกษัตริย์ตามโบราณราชประเพณี

...

ฉากไฮไลต์ที่น่าประทับใจที่สุดของพระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้ ซึ่งทำเอาสื่อมวลชนเกือบ 200 ชีวิตจากทั่วโลก รวมถึงกองทัพสื่อจากเมืองไทย ตลอดจนประชาชนชาวภูฏานหลายแสนคนจาก 20 มณฑลทั่วประเทศ ที่เฝ้าติดตามชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ปรบมือสนั่นด้วยความปลื้มปีติยินดี คือ พิธีการสำคัญในช่วงที่ “กษัตริย์จิกมี” ทรงสวมมงกุฎโบราณตัดเย็บจากผ้าไหมปักดิ้นทองแก่พระคู่หมั้น เพื่อแต่งตั้งเป็นพระราชินีองค์ใหม่ของภูฏานอย่างเป็นทางการ โดยเจ้าบ่าวผู้สูงศักดิ์ทรงเชยคางเจ้าสาวขึ้นมองอย่างทะนุถนอม และสบตาหวาน พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความรักความเสน่หาสุดซึ้ง ทำเอาเจ้าสาว ซึ่งประหม่าและตื่นเต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงกับแก้มแดงด้วยความเขินอาย จากนั้นเจ้าบ่าวจึงประคองเจ้าสาวขึ้นประทับบนบัลลังก์พิธี พร้อมร่วมเสวยน้ำอมฤตจากจอกศักดิ์สิทธิ์ทองคำ เพื่อความเป็นนิรันดร์ของชีวิต ตามความเชื่อของราชประเพณี ท่ามกลางความยินดีของเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ของภูฏาน, ผู้นำสำคัญๆของประเทศ ตลอดจนทูตานุทูตจาก 25 ประเทศทั่วโลก และบุคคลสำคัญๆระดับประเทศของอินเดีย ที่ร่วมเป็นสักขีพยานราว 200 คน

หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีอย่างเป็นทางการ ต่อมาในช่วงบ่าย “กษัตริย์จิกมี” ได้พระราชทานพระราชวโรกาสให้ประชาชนหลายพันคน ที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศของประเทศ ได้เข้าเฝ้าฯและถวายความยินดีอย่างใกล้ชิด ณ สนามกว้างนอกพระอารามหลวง บ่าวสาวคู่ใหม่ทรงพระราชดำเนินทักทายเหล่าพสกนิกรอย่างเป็นกันเอง และเมื่อเสด็จมาถึงจุดรวมพลของกองทัพสื่อ กลุ่มสื่อมวลชนจากประเทศไทย รวมถึงผู้สื่อข่าวหน้าสตรีไทยรัฐ ก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงตะโกนคำว่า “สวัสดี” ดังกึกก้อง จนทั้งสองพระองค์ต้องทรงหยุดทักทาย พร้อมกับรับสั่งว่า “สวัสดี” อย่างชัดถ้อยชัดคำ โอกาสนี้เองได้มีนักข่าวสาวรายหนึ่งทูลถามว่า ทรงรู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เป็นเจ้าบ่าวในวันนี้ “กษัตริย์จิกมี” รับสั่งถามกลับอย่างพระอารมณ์ดีว่า แล้วเธอล่ะแต่งงานหรือยัง พอเหยี่ยวข่าวสาวตอบว่า ยังเพคะ…พระองค์ก็รับสั่งยิ้มๆแทนคำตอบ ซึ่งสื่อถึงความสุขอันเหลือล้นว่า “มันวิเศษมากๆ!! เธอน่าจะลองแต่งงานดูบ้าง”…สังเกตจากภาษากายที่แสดงออกแล้ว บ่งบอกได้ชัดเจนว่า พระองค์ทรงรักและทะนุถนอมพระราชินีของพระองค์มากมายเพียงใด ทรงแสดงความรักล้นใจอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน โดยทรงจูงมือ, โอบกอด และพูดคุยกะหนุงกะหนิงอย่างมีความสุขตลอดเวลา ที่สำคัญยังคงยึดมั่นว่าจะทรงมีพระชายาเพียงองค์เดียวตามที่ตั้งพระทัยตลอดมา

หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีอภิเษกสมรส และการเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกทั่วประเทศตลอด 3 วันเต็ม ระหว่างวันที่ 13-15 ต.ค.2554 กษัตริย์จิกมีทรงวางแผนพาเจ้าสาวแสนสวยเสด็จไปฮันนีมูนที่เมืองราชาสถาน ประเทศอินเดีย ในช่วงปลายเดือนเดียวกันนี้

...

สำหรับเส้นทางความรักของกษัตริย์เจ้าเสน่ห์ ขวัญใจสาวไทย พระองค์นี้ มีเรื่องราวโรแมนติกน่าประทับใจให้เล่าขานชวนติดตาม ทั้งคู่ไม่ได้เพิ่งมาปิ๊งรักกัน แต่ “กษัตริย์จิกมี” ทรงเคยคุกเข่าขอ “เจ็ตซัน” แต่งงานมาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ ขณะนั้น เจ้าชายเพิ่งมีพระชนม์ 17 ชันษา ส่วนสาวน้อยผู้เป็นรักแท้อายุแค่ 7 ขวบเท่านั้น เจ้าชายทรงให้สัญญากับเจ็ตซันว่า “ถ้าเธอโตขึ้นเมื่อไหร่ และเรายังเป็นโสดไม่มีใคร เราจะกลับมาขอเธอแต่งงาน” เหตุการณ์น่าประทับใจมิลืมเลือนครั้งนั้นเกิดขึ้นระหว่างที่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายไปปิกนิกกันในกรุงทิมพู เมืองหลวงของภูฏาน โดยครอบครัวฝ่ายหญิงสนิทสนมกันดีกับพระราชวงศ์ภูฏาน

ปั๊ปปี้เลิฟที่เป็นฉากโรแมนติกในวันวาน ได้กลายเป็นตำนานรักบันลือโลกแห่งเทือกเขาหิมา ลัย เมื่อพรหมลิขิตชักนำให้ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้ง โดยที่ “กษัตริย์จิกมี” ยังถวิลหารักแรกพบในวัยเด็กไม่เสื่อมคลาย กษัตริย์ผู้สูงศักดิ์จึงทรงตัดสินพระทัยสละโสด และประกาศข่าวมหามงคลเป็นทางการครั้งแรกในพิธีเปิดการประชุมรัฐสภา ครั้งที่ 7 ณ กรุงทิมพู เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศว่า

...

“ในฐานะกษัตริย์ บัดนี้ได้ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องอภิเษกสมรส และหลังจากที่คิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ข้าพเจ้าเห็นว่า พิธีดังกล่าวควรจัดขึ้นในปลายปีนี้ หลายท่านคงมีความคิดเห็นในใจแล้วว่า พระราชินีองค์ใหม่ควรจะมีบุคลิกลักษณะอย่างไร เธอต้องเป็นสตรีที่งดงาม ฉลาดหลักแหลม และสง่างามด้วย ทว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่า ด้วยเวลาและประสบการณ์ คนเราย่อมสามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่มีพลัง ไม่ว่าจะมาจากชนชั้นใดก็ตาม ขอเพียงมีความเพียรพยายามอย่างเหมาะควรเท่านั้น สำหรับพระราชินีของภูฏานแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในฐานะปัจเจกบุคคลก็คือ ต้องเป็นคนดี และในฐานะพระราชินี ก็ต้องมีความมุ่งมั่นไม่ท้อถอย ที่จะรับใช้ประเทศชาติและประชาชน
…ข้าพเจ้าได้พบสตรีที่มีคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว เธอชื่อว่า

“เจ็ตซัน เปมา” แม้ว่าเธอจะยังอายุน้อย แต่มีบุคลิกที่อบอุ่น จิตใจดีงาม ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อผนวกกับความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่เธอจะได้รับต่อไปภายภาคหน้า ย่อมจะทำให้เธอเป็นข้ารับใช้ที่ดีของประเทศชาติได้

...

…“เจ็ตซัน” เป็นคนที่ข้าพเจ้าไว้วางใจที่สุด คอยสนับสนุนข้าพเจ้าตลอดเวลา ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ประชาชนจะรู้สึกอย่างไรกับเธอบ้าง แต่เธอคือคนที่ใช่สำหรับข้าพเจ้า!! อย่างไรก็ดี การแต่งงานครั้งนี้มิได้หมายความว่า ข้าพเจ้าจะสร้างครอบครัวเป็นของตนเอง เพราะตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์ ชาวภูฏานทั้ง 20 ชนเผ่า ก็เป็นเสมือนครอบครัวของข้าพเจ้า การอภิเษกสมรสครั้งนี้จะทำให้ข้าพเจ้ามีพระราชินี ซึ่งจะคอยสนับสนุนเคียงข้าง ตลอดจนร่วมทำงานรับใช้ประเทศชาติและประชาชน กระนั้น ข้าพเจ้าขอให้รัฐบาลจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสอย่างเรียบง่ายพอเพียงเท่านั้น เพราะความสุขของพระราชบิดาที่ข้าพเจ้ารัก และคำอวยพรจากพสกนิกรชาวภูฏาน ก็ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุดแล้ว”

ในที่สุดกษัตริย์รูปงามแห่งภูฏาน ผู้ครององค์เป็นโสดมาจนถึงพระชนม์ 31 พรรษา ก็ทรงค้นพบหญิงสาวในฝันที่รอคอยมาทั้งชีวิต เพื่อทำหน้าที่พระราชินีองค์ใหม่แห่งดินแดนมังกรสายฟ้า ที่จะช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจ และเคียงคู่กับพระองค์บำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎรชาวภูฏานสืบไป.

ทีมข่าวหน้าสตรี