ระยะ 2-3 ปีมานี้ ถือเป็นปีทองของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาการบริหารงานของ ครอบครัวมาลีนนท์ นอกจากจะดึงเรตติ้งนำโด่งมาเป็นอันดับต้นๆแล้ว ยังสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ จนได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นบิ๊กทีวีที่มีฐานะร่ำรวยอู้ฟู่ที่สุด...ทั้งหมดไม่ได้มาจากความฟลุกอย่างแน่นอน แต่ต้องยกเครดิตให้ "ประวิทย์ มาลี-นนท์" เอ็มดีใหญ่ช่อง 3 ผู้มีสไตล์การบริหารแบบยิ่งให้ยิ่งรวย!!ในขณะที่นายใหญ่ผู้นี้ คือผู้อยู่เบื้องหลังความรุ่งโรจน์ของช่อง 3 คงต้องยอมรับว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องการครองใจคน ทำให้เกิดความรักความปรองดองในองค์กรอย่างแท้จริง จะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจาก "มาดามหลี-อรัญญา มาลีนนท์" หลังบ้านบิ๊กช่อง 3 ผู้ทำหน้าที่ทัพหลังคอยดูแลทุกข์สุขของชาววิกพระราม 4 อย่างอบอุ่นใกล้ชิด เสมือนสมาชิกในครอบครัวเดียวกันแต่ถึงจะคลุกคลีอยู่วงการสื่อมานาน และเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ ทว่า เอาเข้าจริงๆแล้ว "นายใหญ่ประวิทย์" กับ "มาดามหลี" ก็ไม่ยอมเปิดปากให้สัมภาษณ์ใครง่ายๆ...รู้อย่างนี้แล้ว เมื่อทีมข่าวสตรีไทยรัฐได้พบปะหลังบ้านบิ๊กช่อง 3 อย่างใกล้ชิด จึงไม่ยอมพลาดโอกาสทองที่จะล้วงลึกแกะเกาเรื่องราวชีวิตส่วนตั๊วส่วนตัวของหัวเรือใหญ่วิกพระราม 4 มาเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก แอบถามสักนิดนะคะ "คุณหลี" เติบโตมาในครอบครัวแบบไหนก็โตมาในครอบครัวคนจีนแต้จิ๋ว คุณพ่อเป็นคนจีนแต้จิ๋วที่มาจากเมืองจีนแท้ๆ ส่วนคุณแม่เป็นลูกครึ่งไทย-จีน โตมาแถวอยุธยา ครอบครัวเราเปิดร้านขายเหล้ายา ชื่อ "เล่างี่ชุน" อยู่แถวหัวลำโพง ฐานะก็มีกินมีใช้ ไม่เดือดร้อนอะไรแล้วเจอกับ "คุณประวิทย์" ได้อย่างไรคะ"คุณประวิทย์" เป็นเพื่อนกับพี่ชาย ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ก็มาหาพี่ชายที่บ้านบ่อยๆ ทำให้รู้จักกันตั้งแต่ เด็กๆ สมัยก่อนบ้านไหนมีน้องสาวสวย บ้านนั้นก็จะมีหนุ่มๆ คือเพื่อนพี่ชายไปมาหาสู่เยอะ "คุณประวิทย์" เข้ามาจีบยังไง...ถึงได้ใจอ่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาแอบชอบ ก็คิดว่าเป็นเพื่อนพี่ชายธรรมดาๆ "คุณประวิทย์" ไม่เคยจีบ แต่เขาเป็นคนพูดตรงๆ ชอบก็บอกว่าชอบเลย ตอนที่เขาจะไปเรียนต่อด้านวิศวกรรมอุตสาหการ ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็มาบอกพ่อแม่เราว่ารักชอบกับ "หลี" ตอนนี้กำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก ขอจองตัวไว้ก่อน พอเรียนจบกลับมาจะแต่งงานทันที!! เราเองก็ไปเรียนที่ชิคาโกเหมือนกัน โดยไปกับพี่ชาย เลือกเรียนด้านเลขาฯ ซึ่งสมัยนั้นถือว่าโก้เก๋มาก พอเรียนจบปั๊บ ก็กลับมาเมืองไทยแต่งงานเป็นสะใภ้ตระกูลมาลีนนท์ ตอนนั้นแทบไม่มีเวลาฮันนีมูน เพราะ "คุณประวิทย์" ต้องเข้ามาช่วยงานคุณพ่อที่ไทยทีวีสีช่อง 3 เต็มตัว เริ่มจากเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายจัดรายการและโฆษณาของสถานี จากนั้นเขยิบขึ้นเป็นกรรมการรองผู้จัดการบริษัท และกรรมการผู้จัดการบริษัทบางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด บริหารกิจการช่อง 3 และยังเป็นกรรมการบริหารบริษัท บีอีซีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) นายใหญ่ช่อง 3 เป็นสามีที่โรแมนติกไหมคบกันมาตั้งแต่อายุ 17-18 ปี เขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายมาก คอยเป็นห่วงเป็นใยทุกคน ถ้าไม่ได้ไปด้วยกัน เขาจะโทร.ถามทุกชั่วโมงว่า ถึงไหนแล้ว เป็นยังไงบ้าง คือในสมอง "คุณประวิทย์" จะคิดตลอดเวลา คอยเป็นห่วงโน่นห่วงนี่ เคยไปหาพระอาจารย์ ท่านพูดเลยว่า เมื่อไหร่เขาหมดลม เขาถึงจะหยุดคิดหยุดห่วงได้ (หัวเราะ) ช่วงไหนพอหยุดพักผ่อนนานๆ ไม่ได้ ทำงาน ก็จะได้ยินเสียงบ่นว่าหยุดแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรทำ ในฐานะหลังบ้านบิ๊กช่อง 3 มีเทคนิคมัดใจสามีอย่างไร?!"คุณประวิทย์" ไม่มีอะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์ เขาเป็นสามีที่ประเสริฐสุด ไม่เคยวอกแวกออกนอกลู่นอกทาง ชีวิตนี้เอาแต่ทำงานอย่างเดียว แถมยังไม่ใช่คนจู้จี้...เป็นคนอยู่ง่ายทานง่ายมาก ชอบทานเมนูง่ายๆ ไม่กี่อย่าง เช่น สุกี้แห้ง, ซุปผักนิ่มๆใส่วุ้นเส้นกับเต้าหู้ไข่ แล้วก็อาหารไทย จำพวกปลาทอดผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะขนาดนี้ เวลามีทุกข์ตั้งรับยังไงจะพยายามมองโลกในแง่ดี ถ้าอะไรไม่ดีก็ช่างมันเถอะ ไม่เก็บมาคิด รอให้สบายใจก่อนเดี๋ยวค่อยไปถามไปชวนคุย คือ เราเป็นคนที่ไม่อยากให้อะไรๆมาติดกับตัวเยอะ ถ้าติดแล้วมันจะห่วงมากทุกข์มาก ก็พยายามปล่อยวางให้มากที่สุด และใช้ธรรมะนำทาง ขอเคล็ดลับดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและอารมณ์ดีอย่าง "คุณหลี" บ้างสิคะถ้าสุขภาพจิตไม่ดี ออกกำลังกายยังไงก็ไม่ไหวนะ ต้องดูแลควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง เป็นคนอยู่เฉยไม่เป็น ส่วนใหญ่ชอบเดินออกกำลังกาย แต่ช่วงหลังมีปัญหาเกี่ยวกับหลัง เพราะอุ้มหลานเยอะ ทำให้เส้นยึด เกิดอาการอักเสบ จนตัวชาไปหมด ต้องนอนพักรักษาตัวตั้งนาน หมอเลยสั่งห้ามไม่ให้ออกกำลังกายหนัก และเวลาทำอะไรก็ห้ามก้มหรือลุกพรวดพราด ได้ข่าวว่า "คุณหลี" เป็นแม่พระของชาวช่อง 3 ?!คงไม่ถึงขนาดนั้น!! คือเราจะทำตัวเหมือนทุกคนเป็นเพื่อนกัน งานก็เป็นงาน หลังจาก เสร็จงานแล้ว ไปไหนไปกันเหมือนเพื่อน ใครมีอะไรเดือดร้อนก็โทร.มาหาได้เลย จะเปิดโทรศัพท์ตลอด ไม่อยากทำให้พวกเขาเกร็งหรือเครียด คือทุกคนเครียดกับงานอยู่แล้ว เดือนหนึ่งก็จะนัดมาเจอกัน เล่นแชร์กันบ้าง เดี๋ยวนี้พวกผู้จัดสบายแล้ว เพราะเรากันเงินไว้ให้ก้อนหนึ่ง ใครเดือดร้อนสามารถหยิบยืมได้ พอถึงวันเกิดใคร "คุณประวิทย์" จะเตือนว่าให้โทร.ไปอวยพรหน่อย คือเราเป็นผู้บริหาร แต่ไม่เคยคิดว่าต้องรอให้ใครมาเอาใจ งานรัดตัวขนาดนี้ "คุณประวิทย์" แบ่งเวลาให้ครอบครัวอย่างไรเราว่างเมื่อไหร่ก็มาเจอกัน อย่างวันเสาร์หรืออาทิตย์กลางคืน ถ้าไม่ไปกินข้าวนอกบ้าน ก็จะสั่งอาหารมาทานพร้อมกันที่บ้าน เดี๋ยวนี้ลูกๆมีครอบครัวแล้ว "คุณประวิทย์" จะบอกว่า แล้วแต่ลูกๆ ไม่ต้องไปบังคับ "คุณประวิทย์" เป็นคุณพ่อสไตล์ไหนเป็นพ่อที่ไม่ดุเลย ออกแนวเกรงใจลูกมากกว่า!! เวลาจะให้ลูกทำอะไร ต้องพูดขอร้องลูกดีๆ อย่างจะขอให้ "อ๋อง" พูดกับ "สรยุทธ" เขาก็จะบอกลูกว่า "ช่วยหน่อยนะ...เออ...thank you นะลูก" เขาจะพูดเสมอว่า เวลาชมคนให้ชมต่อหน้า แต่ถ้าจะติจะว่าให้เรียกมาคุยกันสองต่อสอง เพราะถือเป็นการให้เกียรติคน "คุณประวิทย์" ยังเป็นคนตรงต่อเวลามาก ถ้าเครื่องบินออก 5 ทุ่ม จะไปนั่งรอที่สนามบินตั้งแต่ 2 ทุ่ม ทุกวันนี้ ลูกๆทุกคนก็อยู่ด้วยกันที่บ้าน แต่ "คุณประวิทย์" จะบอกตลอดว่า เดี๋ยวนี้สมัยใหม่แล้ว เราไม่บังคับให้ต้องมาอยู่กับเรา ถ้าใครอยากแยกตัวไปสร้างบ้านตัวเองก็ไม่ว่ากัน อีกอย่างที่เน้นก็คือ ลูกอยากใช้เงินไม่ว่า แต่ต้อง หาเงินเป็นด้วย และต้องไม่ผิดศีลธรรม ส่วนเรื่องกินเท่าไหร่เท่ากัน อยากจะกินอะไรก็กินดีๆไปเลย ไม่มีอั้น แล้ว "คุณหลี" เป็นคุณแม่ที่ตามใจลูกๆไหมคะ(พยักหน้า) เป็นคุณแม่ที่ยังไงก็ได้ ลูกๆจะบอกว่า หม่าม้าสบายอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง ถ้าจะห่วงก็ห่วงคุณพ่อมากกว่า เพราะทำงานหนัก ตอนนี้อายุ 64 ปีแล้ว ลูกๆบ้านนี้จะห่วงคุณพ่อมากกว่าแม่ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ประสบความสำเร็จน่าชื่นใจครอบครัวเราจะสอนลูกๆเสมอว่า เก่งหรือไม่เก่งไม่เป็นไร ขอให้เป็นคนดี รู้จักทำมาหากิน และจะไม่บังคับลูกว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ คือมีอะไรก็คุยกันด้วยเหตุผล ใครอยากทำอะไรไม่ว่า ขอแค่อย่างเดียวคือ ต้องกตัญญู และมีศีลธรรม ก็ดีใจนะที่ลูกๆทุกคนได้ดังใจ!! อย่างลูกสาวคนโต "ยุ้ย" ทำงานได้เงินเดือนเดือนแรกก็เอามาให้พ่อแม่ เราก็คืนเงินลูกไป แต่ยังเก็บซองไว้เป็นที่ระลึก ส่วนลูกชาย "อ๋อง" ปีแรกที่เรียนจบ ได้ไปฝึกงานที่ซีแอตเติล เดือนแรกที่ได้เงินเดือน เขาก็ส่งมาเป็นเช็คให้พ่อแม่ ไม่มากอะไรแค่ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ เขาบอกว่า เงินก้อนนี้เป็นเงินที่ภูมิใจมาก "คุณประวิทย์" ปลื้มมาก ให้ถ่ายรูปเช็คเก็บไว้เป็นที่ระลึก และส่งเช็คคืน ให้ลูก ส่วนของ "โอ๋" ลูกสาวอีกคน แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว วันหนึ่งไปทานข้าวกับแม่ ลูกบอกว่า หม่าม้า วันนี้ไม่ต้องจ่ายนะ เดี๋ยว "โอ๋" เลี้ยงเอง..."โอ๋" แต่งงานแล้ว เราได้ยินก็ดีใจ ปลื้มใจที่ลูกกตัญญู ส่วนลูกชายคนเล็กสุด สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนร่วมฤดี เขาไปสแครชแผ่นกับเพื่อน ได้สตางค์มาคนละ 2 พันกว่าบาท ก็ใส่ซอง เขียนภาษาไทยมาให้พ่อแม่ บอกว่าเป็นเงินก้อนแรกที่หาได้ พวกเราก็ยังเก็บไว้อยู่ คิดว่าตัวเองโชคดีไหมคะ ที่เป็นภรรยา "ประวิทย์ มาลีนนท์" ?แหม!! โชคดีมาก...คือเราต้องรู้ว่าเราโชคดี...ไม่ใช่พูดว่า "ธรรมดาๆ" อันนี้ไม่ถูก!! แต่ในความโชคดีของเรา ก็ต้องรู้ตัวว่าเราไม่ได้ไปเปรียบเทียบกับใคร ต้องพอใจกับสิ่งที่มีอยู่!! ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว และยังมีหลานที่น่ารักด้วย ถือว่าโชคดีมากๆแล้ว และเราก็ไม่ได้ลำบากอะไร ตั้งแต่แต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านมาลีนนท์ 30 กว่าปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหาเลย โชคดีมากที่ได้รับความเมตตาจากทุกคนอะไรคือคัมภีร์แห่งความสำเร็จของช่อง 3 ความขยันและซื่อสัตย์ในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญที่สุด "คุณ ประวิทย์" ยังชอบช่วยเหลือคนมาก มักจะพูดเสมอว่า ก่อนที่เราจะให้ความสุขความเอ็นเตอร์เทนคนอื่น เราจะต้องช่วยเหลือคนในบ้าน (ช่อง 3) ให้มีความสุขก่อน เรามีเยอะแล้ว ก็ควรให้คนอื่นได้มีด้วย ไม่ใช่เรารวยอยู่ คนเดียว แต่พนักงานช่อง 3 ยังไปไม่ถึงไหน อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง!! "คุณประวิทย์" จะภูมิใจที่สุด ถ้าได้เห็นลูกน้องเจริญเติบโตก้าวหน้า...เรื่องช่วยเหลือขอให้บอกมาเถอะ ถ้าเราทำได้จะไม่เคยลังเลใจเลย เรามีเยอะก็ต้องแบ่งให้คนอื่นบ้าง ให้มันเหลือกินเหลือใช้ ต้องคิดเสมอว่าคนที่มาทำงานกับเราก็ต้องเห็นใจเขาด้วย ต้องคอยดูแลทุกข์สุขของพวกเขา อย่าให้ขาดตกบกพร่อง เพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกจ้าง แต่เป็นเพื่อนร่วมงานของเรา...เป็นคนที่ช่วยเราทำงาน ทำให้ช่อง 3 เจริญก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ต้องถือเป็นผู้มีพระคุณด้วยซ้ำ!!ทีมข่าวหน้าสตรี