นวัตกรรมและวิถีทางแห่งการสร้างสรรค์รถจักรยานยนต์ของบริษัท BMW ที่ก่อกำเนิดบนเส้นทางของจักรกลสองล้อขับเคลื่อนด้วยระบบเพลาขับมานาน กว่า90ปี

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)
ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW R50S 1956-1969

กลาง ยุค1950เป็นช่วงเวลาที่ผู้บริหารของBMWได้แต่งตั้งHans Gunther Von Der Marwitzมาเป็นผู้ดูแลและควบคุมการพัฒนารถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ของบริษัท หลังจากนั้นจึงทำการย้ายฐานการผลิตจากโรงงานในเมืองMunichไปที่โรงงานแห่ง ใหม่ในเมืองBerlin Spandau ณ โรงงานแห่งนี้นี่เองที่เครื่องยนต์สูบนอนรุ่นใหม่ล่าสุดของBMWขนาด500-600 และ750c.c.ได้ถูกเปิดตัวขึ้น การพัฒนาตัวเครื่องยนต์มีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรเพื่อให้สมถรรนะที่ดีขึ้น บล็อกเครื่องผลิตจากอลูมินัมอัลลอยผสมพิเศษ ลูกสูบทำจากอัลลอย เพลาข้อเหวี่ยงติดตั้งลูกปืนบอลแบริ่งเพื่อลดแรงเสียดทานในระหว่างการหมุน รอบสูง ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยสวิช์ทไฟฟ้า ระบบส่งกำลังหรือเกียร์แบบสปอร์ตแต่ยังคงใช้ตะเกียบคู่หน้าจากแบบเดิมที่ดี เยี่ยมอยู่แล้ว หลังจากนั้นในปี1956 ค่ายBMWเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นR50 Sซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นมาในช่วงเวลาไม่นานนักและผลิตเพียงน้อยนิดในรูปแบบ ลิมิเตทอิดิชั่นเพียง1634คันเท่านั้น รถR50 S ใช้เครื่องยนต์สูบนอนปริมาตรความจุ494c.c. Four-stroke two cylinder flat twin OHV(สี่จังหวะ สองกระบอกสูบแบบแฟลตทวิน-โอเวอร์เฮตวาว์ล)จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ คู่ให้กำลัง35แรงม้าที่ย่าน7560รอบต่อนาทีกับความเร็วสูงสุดในช่วงปลาย ยุค50'ที่160กิโลเมตรต่อชั่วโมง(ราคาในปัจจุบันประมาณเกือบ6แสนบาทแต่หารถ ได้ยากมาก)

...

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW R60 S 1969-1973

การลงมือ ลงแรงพัฒนาตัวรถมอเตอร์ไซค์อย่างไม่หยุดยั้งของวิศวกรเยอรมันภายใน ค่ายBMWก่อกำเนิดจักรยานยนต์ยุคใหม่ที่ก้าวเข้าสู่การปฎิวัติรูปทรง ความนิยมในตัวรถจักรยานยนต์BMWจากทุกมุมโลกส่งผลให้การออกแบบและการผลิตมี ความปราณีตสวยงามซึ่งผสมผสานกันระหว่างรูปแบบเก่าๆที่มีความคลาสสิกกับ นวัตกรรมใหม่ของระบบเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังและช่วงล่าง บริษัทBMWแนะนำจักรยานยนต์รุ่นล่าสุดของปี1969ในรุ่นR60 S เครื่องยนต์สูบนอนเหมือนกับต้นตระกูลของมันแต่มีการพัฒนาวัสดุที่ใช้ภายใน ที่ดีขึ้น ปริมาตรความจุของเครื่องตัวนี้คือ594c.c. Four-stroke two cylinder air-cooled boxer(สี่จังหวะ สองกระบอกสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ บล็อคเครื่องแบบสูบนอน)ให้กำลัง30แรงม้าที่5800รอบต่อนาที

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)


BMW R75/5 1965-1973

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)


BMW R75/5 Racing 1974

ปี1973นับ ได้ว่าเป็นครั้งแรกที่รูปทรงของตัวรถที่ใช้ในการแข่งขันถูกนำมาใช้ในรถ มอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกจำหน่าย กระแสคลั่งมอเตอร์ไซค์แบบแข่งขันระบาดไปทั่วจากบรรดาชายชาตรีผู้รักความเร็ว และสิงห์นักบิดทั้งมือเก่าและพวกมือใหม่ที่ต้องการให้ผู้คนมองดูรถ มอเตอร์ไซค์ของตนที่มีความสง่างามเหมือนกับรถแข่ง ซึ่งมีทั้งความสวยและความดุดันแอบแฝงอยู่ มอเตอร์ไซค์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปฎิวัติรูปทรงคือรถรุ่นR75/5ที่ บริษัทBMWผลิตขึ้นในต้นยุค70'โดยใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ปริมาตรความ จุ750c.c.50แรงม้าติดตั้งระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยสวิช์ทไฟฟ้า(หลังจากนั้น อุปกรณ์ชนิดนี้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถจักรยานยนต์ของBMWมาจนถึงทุกวัน นี้)อีกสามปีถัดมาในปี1976BMWทำการเผยโฉมหน้าของรถรุ่นใหม่ที่ผ่านการออกแบบ มาอย่างงดงามโดยนักแข่งชื่อดังHans A Muthโดยใช้การจำลองแบบเหมือนจริงแล้วนำไปทดสอบในอุโมงลมเพื่อหาค่าสัมประ สิทธิแรงต้านทานของอากาศที่ต่ำที่สุดก่อนจะลงมือผลิต ตัวเครื่ิองยนต์ก็ถูกพัฒนาไปไกลมากแล้วและเริ่มเปลี่ยนขนาดปริมาตรความจุ จาก750c.c.ไปเป็น1000c.c.ในยุคถัดไปต่อจากนี้

...

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW R80 G/S 1980-1987

การ ครองความเป็นเจ้าแห่งความเร็วบนสนามแข่งขันทางเรียบทำให้ทีมแข่งBMWเริ่มหัน ไปสร้างรถจักรยานยนต์แบบวิบากเพื่อส่งลงทำการแข่งขันในรายการใหญ่ระดับโลก อย่างParis-Dakar เมื่อเวลาเดินมาถึงช่วงปลายยุค70' ค่ายBMWผลิตรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ท้องตลาดในรูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์ ประเภทวิบากตัวลุยโดยใช้ชื่อรุ่นว่าEnduroโดยที่ตัวรถมีรูปทรงเปลี่ยนแปลงไป จากรถมอเตอร์ไซค์วิบากเดิมๆที่มีขนาดเล็กและมีเครื่องยนต์ไม่ใหญ่นักมาเป็น รถมอเตอร์ไซค์ทรงลุยคันโตใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ถึง800c.c.ในรุ่นR80 G/Sซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของวงการมอเตอร์ไซค์แบบวิบาก รถBMW R80 G/Sลงทำการแข่งขันในรายการ Paris-Dakar และสามารถกำชัยชนะได้ถึง4ปีซ้อน ด้วยกำลังของเครื่องBoxerสูบนอน85แรงม้าทำให้มันกลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ ใช้ดินทางไกลที่ดีที่สุดในต้นยุค80' ปัจจุบันBMW R80 G/Sกลายเป็นต้นแบบให้รถจักรยานยนต์ประเภทวิบากของรถอีกหลากหลายรุ่นที่ได้นำ เอารูปทรงของมันไปใช้กันอย่างแพร่หลาย

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

...

BMW K100 1983

ใน ขณะที่วงการมอเตอร์สปอร์ตมีการขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นเพื่อแสดงให้เห็นถึง สมถรรนะและพลังในการขับเคลื่อนของรถมอเตอร์ไซค์ บริษัทBMWจึงจำเป็นที่จะต้องมุ่งมั่นพัฒนาตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ให้มีรูป ทรงที่แปลกและแตกต่างไปจากตัวรถทั่วๆไปเทคโนโลยีของระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ ต้องไม่เหมือนใครเพื่อความเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ชั้นดีของเยอรมัน นักออกแบบชื่อดังแห่งยุคJosef Fritzenwenger รับนโยบายมาจากผู้บริหารสูงสุดของBMWโดยยังคงยึดถือหลักการดั้งเดิมของMax Firzเอาไว้ในบางจุดที่มีความยอดเยี่ยมอยู่แล้ว Fritzenwengerทำการปฎิวัติครั้งใหญ่ในเรื่องของกำลังและได้ทำการเปลี่ยนแปลง เครื่องยนต์มาเป็นแบบเแถวเรียง-สี่กระบอกสูบ วางขนานไปกับตัวรถซึ่งทำให้ระบบขับเคลื่อนในรถรุ่นใหม่นี้ยังคงใช้เพลาขับ เหมือนเดิม แต่ตำแหน่งการวางของเครื่องยนต์จะค่อนข้างไปทางด้านซ้ายของตัวรถ เฟรมตัวถังใช้ทรงกล่องสี่เหลี่ยม ระบบรองรับน้ำหนักใช้แขนเดี่ยวที่ยึดระหว่างล้อหลังกับเสื้อเกียร์ กระบังลมหรือการ์ดด้านหน้าเน้นรูปลักษณ์แบบสปอร์ต ปี1983เดินทางมาถึงด้วยการเปิดผ้าคลุมรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์รุ่นล่าสุดBMW K100 โดยใช้การปฎิวัติรูปทรงและเครื่องยนต์แบบใหม่ทั้งหมด รถK100ใช้เครื่องยนต์แถวเรียง4กระบอกสูบ แบบFour Stroke, Horizontal In Line Four Cylinder, Liquid Cooled, DOHC, 2 Valves Per Cylinder ระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดBoschแบบLE-MotronicทดแทนระบบCarbureters แบบเก่า ทำให้ได้พลังงานเพิ่มขึ้นและขยายย่านของพลังหรือPower-band ให้มีความต่อเนี่องรวมถึงลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลงด้วย รถBMW K100 มีกำลังถึง90แรงม้าที่8000รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์5สปีดอัตราทดชิด ระบบเบรคABSพร้อมด้วยชุดกรองไอเสียแบบสามทาง ตัวรถรุ่นนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง216กิโลเมตรต่อชั่วโมง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้อาจกล่าวได้ว่าBMW K100คือรถมอเตอร์ไซค์รุ่นฉลองความสำเร็จของบริษัทที่เดินทางมาครบรอบ60ปี

...

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW R1200 C Cruiser 1997

รถ จักรยานยนต์ของBMWในบางรุ่นมีความเปลี่ยนแปลงไปจากรถรุ่นเก่าตามยุคสมัยที่ เปลี่ยนไปแต่ทุกคันก็จะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น เอกลักษณ์ที่ยากจะแปลเปลี่ยนของเครื่องสูบนอนยังคงฝังลึกอยู่ในสายเลือดของ จักรยานยนต์เจ้าของสัญลักษณ์ใบพัดฟ้าขาวตลอดมา รถรุ่นปี1993ยังคงถูกผลิตขึ้นภายใต้เครื่องยนต์สูบนอน ระบายความร้อนด้วยอากาศ ตำแหน่งวาว์ลแคมชาฟท์อยู่ด้านบน ระบบควบคุมการจุดระเบิดกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงควบคุมด้วยสมองกลไฟฟ้า ดิจิตอล มอเตอร์อิเล็คทรอนิคซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ก้าวล้ำมากในปี1993 สมถรรนะของเครื่ิองยนต์สูบนอนยุคใหม่สามารถเทียบเท่ากับกำลังของรถ จักรยานยนต์หรือรถยนต์สี่สูบได้อย่างสบายๆ สำหรับขุดส่งกำลังหรือเกียร์ก็ได้รับการออกแบบใหม่หมดทีี่จากเดิมแรงเหวี่ยง จะถูกรับไว้ด้วยตลับลูกปืนบอลแบริ่งถูกปรับเปลี่ยนให้เสื้อสูบรับหน้าที่แทน การออกแบบเฟรมของตัวรถคำนึงถึงความสมดุลย์ที่จะส่งผลไปถึงการทรงตัวมาก ที่สุดและเพื่อให้สอดคล้องกับระบบกันสะเทือนอีกด้วย ปีคศ1997 ค่ายBMWเปิดตัวรถสปอร์ตครุยเซอร์คันงาม BMW R1200 C Cruiser พร้อมด้วยเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดที่วิศวกรประดังใส่เข้าไปในตัวรถ รถR1200 C Cruiserใช้รูปทรงของความคลาสสิกผสมกับรูปแบบของมอเตอร์ไซค์ยุคใหม่ได้อย่าง ลงตัวมากที่สุด มันมีสายเลือดของรถเอนดูโร่ โรสเตอร์และทัวร์ริ่งอยู่ในทุกอนูของตัวถัง หลังจากออกขายได้ไม่นานนักก็ได้การตอบรับอย่างล้นหลามจนแทบจะผลิตขายไม่ทัน C Cruiserใช้เครื่องยนต์สูบนอนปริมาตรความจุ1170c.c.60แรงม้า ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบElectronic Intake Pipe Injection กล่องควบคุมBosch Motronic MA 2.4 พร้อมด้วยOverrun Fuel Cut-Off, Twin Spark Ignition

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)


BMW R1100 RT And RT-P 2000

รถ มอเตอร์ไซค์คันโตสไตล์TouringของBMWคันนี้เพียบพร้อมไปด้วยพละกำลังและสมถร รนะของการขับขี่ในรูปแบบของการเิดินทางไกล จักรยานยนต์R1100RTใช้เครื่องยนต์สูบนอนปริมาตรความจุ1085c.c.สองกระบอกสูบ นอนแบบBoxerสี่จังหวะกับเกียร์5สปีด ให้กำลัง90แรงม้าบนเรือนร่างที่หนัก256กิโลกรัม หน่วยงานตำรวจท้องที่ในสหรัฐอเมริกาได้เริ่มต้นการสั่งซื้อ BMW R1100RT เพื่อใช้ในกิจการของกรมตำรวจ บริษัทBMW จึงทำการเปลี่ยนแปลงแผนแบบจากรถทัวร์ริ่งไปเป็นรถตำรวจตามใบสั่งซื้อจำนวน มาก โดยปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ของตัวรถบางชิ้นส่วนให้เข้ากับการใช้งานของหน่วยงาน ตำรวจทางหลวง ราคาเริ่มต้นของR1100RT-P สูงกว่าเมื่อเทียบกับของ Kawasaki KZ1000 และ Harley - Davidson ในรูปแบบรถจักรยานยนต์ของตำรวจ แต่บางหน่วยงานได้เลือกใช้มันเนื่องจากสมถรรนะที่สูงกว่า แม้เริ่มต้นตัวรถR1100RT-Pจะมีราคาที่สูงขึ้นเนื่องจากยอดค่าใช้จ่ายในการ บำรุงรักษา แต่ความน่าเชื่อถือในสมถรรนะ อุปกรณ์เสริมชั้นเยี่ยมในการขับทางไกล ตลอดจนความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่เมื่อควบเจ้าR1100RT-Pออกปฎิบัติงาน บริษัทBMWติดตั้งเบรคABS การ์ดกันชนด้านหน้า ระบบวิทยุVHF กล่องใส่อุปกรณ์และไซเรน ชุดพยาบาลคนเจ็บฯ การมีระบบป้องกันล้อล็อกของรถจักรยานยนต์BMW R1100RT-Pช่วยลดอุบัติเหตุของเจ้าหน้าที่ในระหว่างปฎิบัติหน้าที่ด้วยรถ มอเตอร์ไซค์ลงได้เป็นอย่างมากจนถึงปี2001 BMW R1100RT-Pได้รับรางวัลจากคณะกรรมการของกรมตำรวจในอเมริกา ในเรื่องของความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการใช้งาน

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW K1200 S 2004

รูป ลักษณ์อันบอบบางเพรียวลมในรูปแบบของจักรยานยนต์ประเภทซุปเปอร์สปอร์ต ความเร็วสูง มอเตอร์ไซค์นคันนี้มีสมถรรนะที่สูงเทียบเท่ารถสนาม ล้อหน้าที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครด้วยรูปแบบที่แข็งแกร่งบวกกับความยืดหยุ่นด้วย แขนสำหรับจับยึดล้อมีลักษณะเป็นง่ามเหมือนกรรไกรพร้อมแกนขนาดสั้นสำหรับการ รับน้ำหนัก มันคือเทคโนโลยีใหม่ที่มีชื่อว่าDoulever Systemเพื่อเพิ่มความเสถียรให้กับตัวรถ เครื่องยนต์ถูกปรับเปลี่ยนจากเครื่องBoxerมาเป็นแบบแถวเรียงสี่กระบอกสูบ ขนาด1157c.c. 167แรงม้า พร้อมแรงบิด130นิวตันเมตร มีอัตราเร่งน้องๆรถฟอร์มูลล่าวันจาก0-100กิโลเมตรเพียง2.8วินาที ทุกองค์ประกอบของมันทั้งตัวถัง เครื่องยนต์ เกียร์ ระบบรองรับ ถูกประกอบขึ้นด้วยความปราณีตบรรจงในหลักการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของ ค่ายBMW จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำทำให้การบังคับควบคุมจักรกรพลังสูงคันนี้เป็นไปอย่าง ง่ายดาย เครื่องยนต์สี่กระบอกสูบทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถน้ำหนัก248กิโลกรัมให้พุ่ง ทะยานไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ความโดดเด่นอีกอย่างของมอเตอร์ไซค์BMW K1200Sคือมันสามารถดูดซับแรงกระแทกจากผิวถนนที่ไม่ราบเรียบได้อย่างหมดจด ระบบรองรับแบบ Doulever Systemได้แสดงประสิทธิภาพอย่างแท้จริงและให้สัมผัสในการขับขี่ในระดับสูงสุด บนรถซุปเปอร์ไบค์คันแรงรุ่นนี้อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในวงการรถจักรยานยนต์ ของปี2004เลยทีเดียว

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW F650 G/S 2010

BMW เปิดตัวรถจักรยานยนต์วิบากรุ่นใหม่ล่าสุดF650G/Sในปีนี้(2010)เพื่อฉลองครบ รอบ 30 บนชัยชนะของรถเอนดูโร่รุ่นแรก รูปแบบของรถในตระกูลGSbikes ซึ่ง R80G/S 1980 R1200GS 1998 รวมถึงF800 และรุ่น F650G/Sของปีนี้คือสายพันธุ์ที่ส่งต่อสมถรรนะของรถวิบากตัวลุย เครื่องจักรที่ทันสมัยคันนี้คือลูกหลานของรถรุ่นR80G/Sคันแรกที่สร้างชื่อ เสียงบนสนามแข่งขันวิบากข้ามทวีปParis-Dakarในปี1980 เครื่องยนต์798c.c. 2 cylinders, 4-stroke, Inline DOHC Parallel-Twin (สองกระบอกสูบ สี่จังหวะแบบแถวเรียง ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮตแคม พาราเรล-ทวิน) ระบบจ่ายเชื้อเพลิงEFIกับเกียร์6สปีด 71แรงม้าที่7000รอบต่อนาที

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW F800R 2009

F 800R คือความพยายามล่าสุดของบริษัทBMW ที่ใช้เวลาในขั้นตอนของการขยายตรรกะรถรุ่นF800Roadster ให้กว้างไกลขึ้น โดยสื่อให้เห็นถึงการออกแบบรูปทรงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบอากาศพลศาสตร์ ที่ประสานไปกับรูปลักษณ์แบบผสมของรถจักรยานยนต์สปอร์ตกับทัวร์ริ่งมารวมไว้ บนตัวรถ เครื่องยนต์ของF800Rคู่ขนานไปกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในระบบเครื่องยนต์กลไก ที่ผ่านการพัฒนามายาวนาน เครื่องแถวเรียง4วาลว์ความจุ798c.c. สองกระบอกสูบถูกดีไซน์ให้มีการดึงเอาสมถรรนะในการตอบสนองตามธรรมชาติของ เครื่องยนต์และการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ตัวรถเข้ากันกับยุคสมัย ที่แปลเปลี่ยนไป รถF800Rรุ่นใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์และการ ตอบสนองของคันเร่งที่วิศวกรBMWทำการปรับปรุงแบบของลิ้นปีกผีเสื้อใหม่หมด วาล์วระบบkinematicให้กำลังสูงสุด 64 กิโลวัตต์หรือ87แรงม้าที่ย่านรอบเครื่องยนต์8000รอบต่อนาที แรงบิด86นิวตันเมตรที่6000 รอบต่อนาที บนเรือนร่างที่ปราดเปรียวเพียวลม

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW S1000RR 2010

มอเตอร์ไซค์ BMW S1000RR รุ่นปี2010 คันนี้ถูกออกแบบและสร้างด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดทั้งในด้านสมรรถนะและความ ปลอดภัย เครื่องยนต์สี่กระบอกสูบ ปริมาตรความจุ1000c.c. 193 แรงม้า มีน้ำหนักของตัวรถทั้งคันเพียง 204 กิโลกรัม ทำให้จักรยานยนต์ BMW S1000RR มีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักดีที่สุดคันหนึ่งในโลกของจักรยานยนต์แบบSuper Sport ด้วยการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุลโดยใช้เฟรมตัวถังอลูมินัมอัลลอย ระบบช่วงล่างที่พัฒนามาสำหรับการวิ่งด้วยความเร็วสูงบนสนามแข่งขันและระบบ เสริมความปลอดภัยแบบแอคทีฟ เช่นระบบเบรก Race ABS และระบบรักษาเสถียรภาพDTC (Dynamic Traction Control) ที่สามารถปรับเลือกโหมดการขับให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานได้ เช่น โหมดRain สำหรับถนนเปียก โหมดSport สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ต โหมด Race สำหรับการแข่งขัน และโหมด Slick สำหรับใช้ในสนามแข่งและใส่ยางแบบสลิ๊คทำให้ BMW S1000RR เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงที่สุดคันหนึ่งเลยทีเดียว BMW S1000RR ใช้เครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบ 1000 c.c.ซิงเกอร์โอเวอร์เฮตแคมชาร์ป ระบายความร้อนด้วยน้ำและระบบวาล์วพิเศษที่ผลิตจากวัสดุไทเทเนียม เกียร์6สปีดพร้อมระบบ Multiple-Disc Clutch In Oil Bath, Mechanically Operated ให้กำลังสูงสุดถึง 193 แรงม้าที่ 13,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดถึง 112 นิวตัน-เมตรที่ 9,750 รอบ/นาที มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรภายใน 2.9 วินาทีและสามารถบิดจนสุดคันเร่งที่ 290 กิโลเมตร/ชั่วโมง(รุ่นธรรมดาที่ยังไม่ได้รับการปรับแต่ง)กันสะเทือนด้านหน้า ใช้โช็คอัพคู่ 125 มิลลิเมตร ด้านหลังเป็นอามส์เดี่ยวทำจากก้านอลูมิเนียมขนาดใหญ่ Single-Sided Swing Arm With Eccentric Adjustment For Rear Axle ล้อหน้าใช้ยาง 120/70/ZR17 ส่วนล้อหลังขนาด 180/55/Zr17 ระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็นจานดิสคู่พร้อม ABS, DTC Dynamic Traction Control เบรคหลังแบบจานดิสเดี่ยวและ ABS

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW K1300 S 2010

เศรษฐกิจ โลกที่ค่อยๆพื้นตัวจากภาวะซบเซา ราคาน้ำมันที่พุ่งทะยานขึ้นไปยันเพดานในหลายประเทศ ทำให้รถจักรยานยนต์กับเครื่องยนต์1300c.c. อาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในยุคนี้ ในขณะเดียวกันตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในอเมริกาเหนือ เอเซียและยุโรปต่างมุ่งเน้นไปที่รถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กประหยัดน้ำมันที่มี เครื่องยนต์ขนาด125c.c.ถึง 500c.cซึ่งกลายเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกในรอบหลายๆทศวรรษเนื่องจากผู้ขับขี่ หน้าใหม่หันไปมองรถราคาประหยัดกันเป็นจำนวนมาก ค่ายBMWมีช่างเครื่องชั้นยอดที่มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี ล่าสุด เพื่อปรับปรุงและพิ่มเติมประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในค่ายของตนเช่นการผลิตรถ จักรยานยนต์ให้ก้าวล้ำไปในอนาคตเสมอ โดยทำสิ่งที่ง่ายและสะดวกสบายสำหรับการขับขี่ใช้งานทั้งในเรื่องของการใช้ เชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่าอย่างสูงสุดกับเรื่องของการขับขี่ควบคุม กลไกการควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงพร้อมด้วยระบบกันสะเทือนรุ่นล่าสุดแบบESA (Electronic Suspension Adjustment) เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากการคิดค้นของBMW แล้วนำมาติดตั้งยังตัวรถซุปเปอร์ไบค์คันล่าสุด BMW K1300S 2010

วัตถุประสงค์ หลักในการพัฒนารถK1300 S คือการสร้างจุดสูงสุดของรถจักรยานยนต์ด้วยคุณภาพการประกอบตัวรถในระดับ สูงสุด ความจุของเครื่องยนต์ 1,293 c.c.มีรอบของเครื่องยนต์สูงสุด11,000 รอบต่อนาทีใกล้เคียงรถสนามที่ใช้ในการแข่งขัน BMWทำการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานที่สำคัญของย่านพลังและแรงบิดส่งผ่าน อัตราเร่ง คุณสมบัติพื้นฐานของรถK1300 S ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำมากในการออกแบบตัวรถ แรงโน้มถ่วงที่จะกระทำต่อตัวรถจักรยานยนต์คันนี้ในมุมสูงสุดของการเอียงใน ขณะเข้าโค้ง55 องศา ตำแหน่งการวางเครื่องถูกจัดให้อยู่ต่ำกว่ารถมอเตอร์ไซค์ปกติ รถK1300S มีพลังที่ก่อกำเนิดจากเครื่องยนต์บล็อกยาวแบบแถวเรียง ทำให้สามารถแบนตัวรถเข้าสู่ทางโค้งในมุมที่ต่ำมากในโค้งบนสนามแข่งขันที่ ต้องใช้ความเร็วสูง รูปแบบพลวัตของการขับขี่ในเกียร์ลูกใหม่ที่ติดตั้งเข้ากับเครื่องยนต์ ขนาด1293c.c.ระบายความร้อนด้วยน้ำ สี่กระบอกสูบ-สี่จังหวะ ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮตแคมชาร์ป สี่วาล์วต่อหนึ่งสูบ ให้กำลัง176แรงม้าที่ย่าน9500รอบต่อนาที ระบบจ่ายเชื้อเพลิงElectronic fuel injection, Digital Motor Electronics with integrated knock control (BMS-K) พร้อมด้วยระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพของตัวรถAnti-lock brakes, ASC traction control, ESA II (electronic suspension adjustment (optional)), Quickshift system, with clutchless, push-button gearshifts (optional)

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

BMW Concept 6 2011

นี่ คือรถมอเตอร์ไซค์แห่งอนาคตของBMW ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รถBMW Concept 6 2011เป็นบิ๊กไบค์ฺต้นแบบคันล่าสุดที่ถูกออกแบบตัวรถในลักษณะCafe Racerโดยความตั้งใจของผู้บริหารที่ต้องการให้มันเป็นรถจักรยานยนต์แนวคิดที่ สานต่อเจตนารมย์ของรุ่น K Series รถConcept 6ใช้เครื่องยนต์หกกระบอกสูบที่เล็กกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป10เซนติเมตรเพื่อ ให้สามารถนำมาวางลงบนโครงตัวถังของมันได้(อย่างลำบากยากเย็น) ถึงแม้เครื่องยนต์ขนาด1.6ลิตรจะให้ย่านของพลังที่ใกล้เคียงกับเครื่องแถว เรียงสี่สูบของเดิม แต่แรงบิดที่เพิ่มขึ้นถึง130นิวตันเมตรในรอบเครื่องยนต์เพียง2000รอบต่อนาที ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่จะทำมันลงบนตัวรถมอเตอร์ไซค์ ในขณะเดียวกันอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกลับมีค่าที่เท่ากันกับเครื่อง สี่สูบอีกด้วย BMW Concept 6 2011ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ อลูมิเนียมและไทเทเนียมประกอบเป็นตัวรถทั้งคันโดยถูกออกแบบให้มีลักษณะจมูก ด้านหน้ายาวแต่มีช่วงท้ายสั้นซึ่งเป็นรูปแบบคลาสสิกดั้งเดิมของสไตล์Cafe Racerพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคที่ประดังเข้าไปในตัวรถอีกเพียบเพื่อแสดงให้ เห็นถึงทิศทางและรูปแบบจักรยานยนต์ในอนาคตของบริษัทBMWในยุคต่อจากนี้

ย้อนรอยประวัติศาสตร์มอเตอร์ไซค์ BMW (ตอนที่2)

Inline six Engine Of Concept 6

ปัจจุบัน การพัฒนารถรุ่นใหม่ในอนาคตภายใต้ความเข้าใจอันลึกซึ้งละเอียดอ่อนของ บริษัทBMWได้ก่อกำเนิดจักรกลสองล้อและรถยนต์สี่ล้อที่มีพร้อมทั้งความสวยงาม ดุดัน เพียบพร้อมไปด้้วยพลังแห่งการขับเคลื่อนที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดกลายเป็นจุด เด่นที่ทำให้รถมอเตอร์ไซค์สายพันธุ์เยอรมันยี่ห้อนี้ยืนยงอยู่ได้ตลอดช่วง เวลาเกือบร้อยปีที่ผ่านมา การโลดแล่นฝ่าสายลมและแสงแดดไปกับรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์Boxerหรือเครื่อง แถวเรียงสี่ถึงหกกระบอกสูบของBMWจะยังคงอยู่กับมนุษย์ที่รักการเดินทางตราบ นานเท่านาน.

arcom roumsuwan
E-Mail chang.arcom@tahirath.co.th