สธ.เตรียมเสนอร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ เพิ่มโทษรุนแรงขึ้น หากสูบในที่ห้ามเพิ่มค่าปรับจาก 2,000 บาท เป็น 5,000 บาท หากฝ่าฝืนเผยแพร่ซีเอสอาร์บุหรี่โทษหนักจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ...
วันที่ 16 ส.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข แถลงข่าวภายหลังเปิดประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 11 เรื่อง “การแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ” จัดโดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการยาสูบ หรือศจย.มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างวันที่ 16-17 ส.ค.55 ว่า ขณะนี้ สธ.ได้ดำเนินการปรับปรุงยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนกฎหมายเดิม 2 ฉบับ ซึ่งใช้มานาน 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2535 คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ จำนวน 26 มาตรา และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ จำนวน 15 มาตรา
ทั้งนี้ จะผนวกให้เป็นฉบับเดียวและปรับปรุงบทบัญญัติให้มีความทันสมัย ทันสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง อาทิ กลยุทธ์การตลาดของบริษัทบุหรี่ ผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ๆ ที่ออกสู่ท้องตลาด เพื่อปกป้องสุขภาพคนไทยที่ไม่สูบบุหรี่ 51 ล้านคน ให้ปลอดภัยจากการสูดควันบุหรี่หรือบุหรี่มือสอง ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล เนื่องจากบุหรี่เป็น 1 ใน 4 สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยป่วยและเสียชีวิตจากโรคเรื้อรัง เสียค่ารักษาแพงและไม่หายขาด อาทิ โรคถุงลมปอดโป่งพอง มะเร็ง โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชนไทยซึ่งผลการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ ระดับโลกรอบล่าสุดในปี 2554 พบว่า มีแนวโน้มสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น และอายุที่เริ่มสูบเร็วขึ้นเป็น 17.4 ปี จากในปี 2552 ที่เริ่มสูบเมื่ออายุ 18.5 ปี
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า ตามร่างกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบฉบับใหม่นี้ มีทั้งหมด 9 หมวด 80 มาตรา ให้ความหมายของผลิตภัณฑ์ยาสูบใหม่ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของใบยาสูบหรือพืชนิโคเทียนานทาแบกคุม (Nicotianatabcum) รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นที่มีสารนิโคตินเป็นส่วนประกอบ บริโภคโดยวิธีสูบ ดูด อม เคี้ยว กิน เป่าหรือพ่นเข้าไปในปากหรือจมูก ทา หรือโดยวิธีอื่นเพื่อให้ได้ผลเช่นเดียวกัน และจะห้ามการขายหลายรูปแบบ ได้แก่ 1. เพิ่มอายุขั้นต่ำที่จะซื้อบุหรี่จากเดิมอายุ 18 ปี เป็น 20 ปี ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มเยาวชนเพิ่มจากเดิมได้อีกกว่า 2 ล้านคน และห้ามคนอายุต่ำกว่า 18 ปีขายบุหรี่
2. ห้ามการขายที่ทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น ห้ามขาย ผลิตภัณฑ์ยาสูบโดยใช้เครื่องขายอัตโนมัติ ขายทางอินเตอร์เน็ต การเร่ข่าย การลดแลกแจกแถม การส่งเสริมการขาย 3. ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบบุหรี่ซิกาแรตต่ำกว่าซองละยี่สิบมวน ห้ามแบ่งขายเป็นมวนๆ และ 4. ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบในสถานที่ต้องห้าม 100 เปอร์เซนต์ 4 แห่ง ได้แก่ สถานศึกษา ศาสนสถาน สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานที่ราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
5. ห้ามแสดงชื่อหรือเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าในทุกสื่อ รวมทั้งห้ามเผยแพร่กิจกรรมซีเอสอาร์ เป็นต้น รวมทั้งได้เพิ่มบทลงโทษรุนแรงขึ้น เช่นหากสูบในพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่เพิ่มค่าปรับจากเดิม 2,000 บาทเป็น 5,000 บาท หากฝ่าฝืนเผยแพร่กิจกรรมซีเอสอาร์บุหรี่ มีโทษสถานหนักจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับเพิ่มรายวันๆ ละไม่เกิน 50,000 บาท หากยังมีการฝ่าฝืนต่อเนื่อง
รมช.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ โดยเสร็จสิ้นไปแล้ว 2 ภาค คือ ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในภาคเหนือในวันที่ 17 ส.ค.55 ที่ จ.เชียงราย และภาคกลาง วันที่ 14 ก.ย.55 ที่ จ.นนทบุรี พร้อมทั้งได้แจ้งเวียนหน่วยงานราชการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสอบถามความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ www.tobaccohearing.com เฟซบุ๊ก http://apps.facebook.com/tobaccohearing และอีเมล์ tobaccohearing@gmail.com ส่วนใหญ่ทุกฝ่ายเห็นด้วย โดยจะปรับปรุงแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด และนำเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบระดับชาติ หรือ คบยช. และ ครม.พิจารณาต่อไป คาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ สามารถประกาศใช้ในปีหน้า ถือว่าเป็นกฎหมายควบคุมยาสูบชั้นนำระดับโลก
ด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ทุกวันนี้บริษัทบุหรี่จะทำทุกวิถีทางในการแข่งขันการค้ายาสูบเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท และพยายามทุกวิถีทางที่จะคัดค้านหน่วงเหนี่ยวมาตรการควบคุมยาสูบที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจะทยอยผลักดันออกมา ตามพันธกรณีที่รัฐบาลไทยมีต่อองค์การอนามัยโลก ภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาสูบ เช่น การเปิดเผยส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ที่ไทยยังทำไม่สำเร็จ การแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน ซึ่งมีบริษัทบุหรี่ข้ามชาติสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง การแก้ปัญหาการฝ่าฝืนกฎหมายห้ามโฆษณาทั้งทางตรงและทางอ้อม การห้ามสูบบุหรี่ในสถานบันเทิง ผับ บาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่บริษัทบุหรี่ไม่ต้องการให้ประเทศใดๆ รวมทั้งไทยประสบความสำเร็จ ดังนั้นนโยบายการป้องกันการแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ จะต้องห้ามส่วนราชการทุกหน่วยรับการอุปถัมภ์จากธุรกิจยาสูบ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ออกระเบียบกำหนดให้บริษัทบุหรี่ต้องจัดส่งรายงาน ประจำปีให้คณะกรรมการควบคุมยาสูบ และออกระเบียบการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับบริษัทบุหรี่ให้โปร่งใส มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นมา
ขณะที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบที่เป็นปัญหาที่สุดในขณะนี้คือ การเคลื่อนไหวของสมาคมผู้บ่ม ผู้เพราะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบไทยที่ออกมาคัดค้านการที่รัฐบาลไทยจะร่วมเห็นชอบกับมาตรา 9 และ 10 ที่เกี่ยวกับการเปิดเผยส่วนประกอบการผลิตบุหรี่ของกฎหมายควบคุมยาสูบ โลก จนถึงการคัดค้านการขึ้นภาษียาสูบของกระทรวงการคลังเมื่อเร็วๆ นี้ โดยสมาคมดังกล่าวเพิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมผู้ปลูกยาสูบนานาชาติ ซึ่งสนับสนุนโดยบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ และเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง
ทั้งนี้ โรงงานยาสูบไทยก็สร้างภาพด้วยการทำซีเอสอาร์โดยอาศัยชาวไร่ ยาสูบบังหน้าในการโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และฉายสปอตในโรงภาพยนตร์ ซึ่งการทำซีเอสอาร์และการประชาสัมพันธ์การทำซีเอสอาร์ของบริษัทบุหรี่ เป้าหมายหลักคือการยับยั้งมาตรการควบคุมยาสูบ และคงไว้ซึ่งค่านิยมการสูบบุหรี่ กฎหมายควบคุมยาสูบฉบับใหม่จึงควรที่จะห้ามการทำซีเอสอาร์โดยบริษัทบุหรี่ และห้ามการประชาสัมพันธ์การทำซีเอสอาร์ในทุกสื่อรวมถึงในโรงภาพยนตร์
ด้าน ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวถึงข้อเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ให้รัฐบาลและรัฐสภาร่วมกันเร่งผลักดันกระบวนการลงคะแนนเสียงรับรองพระราชบัญญัติควบคุมยาสูบฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่ออุดช่องโหว่ต่างๆ มากมายที่มีอยู่ในกฎหมายเดิม 2. ให้รัฐบาลและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งดำเนินการให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงบริการเลิกบุหรี่และยา ช่วยเลิกบุหรี่มาตรฐานได้อย่างเท่าเทียมกันทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือให้เยาวชนและผู้ที่ติดบุหรี่จนไม่สามารถเลิกได้ด้วยตนเอง สามารถหลุดพ้นจากวงจรการเสพติดนี้ได้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาวะของเยาวชนไทย และลดโอกาสการเกิดผลกระทบจากควันบุหรี่มือสองต่อเยาวชนไทยไปพร้อมกัน.
...