"ดร.พิจิตต" ห่วงรอยเลื่อนแผ่นดินไหวในไทย 13 แห่ง พบมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เตือนจับตาเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี อย่างใกล้ชิด พร้อมเสนอ 4 ข้อท้าทาย สร้างภูมิคุ้ม สร้างองค์ความรู้ และสร้างการประสานงานในการจัดการภัยพิบัติอุบัติใหม่...
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่โรงแรมแกรนด์สุนีย์แกรนด์ จังหวัดอุบลราชธานี สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดการประชุมวิชาการการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติครั้งที่ 6 ขึ้น ภายใต้หัวข้อการแพทย์ฉุกเฉินไทย ฝ่าภัยพิบัติ 2012 โดยภายในงานได้มีการปาฐกถาพิเศษเรื่องความเสี่ยง โอกาส และความท้าทาย ในการจัดการภัยพิบัติของโลกและไทย โดย ดร.พิจิตต รัตตกุล คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) และผู้อำนวยการบริหารศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) เข้าร่วมเป็นองค์ปาฐก ดร.พิจิตต กล่าวว่า ในวันข้างหน้าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) จะต้องเตรียมความพร้อมให้สูงขึ้น เพราะหากเทียบเคียงสถิติการเกิดภัยพิบัติ ระหว่างซีกโลกตะวันตกกับซีกโลกตะวันออกอย่างเอเชียจะมีความรุนแรงแตกต่างกันมาก ตัวอย่างเชิงความเร็วของพายุ 170 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำลายความเสียหายให้กับซีกโลกตะวันตกได้เพียงนิดเดียว แต่หากเคลื่อนย้ายมาทางซีกโลกตะวันออกแล้ว ความเสียหายมีจำนวนมากขึ้นถึงร้อยละ 84 เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องการเตรียมพร้อม
ทั้งนี้ คงไม่สามารถหยุดยั้งภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้ แต่สามารถยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเรามีหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นที่ส่งผลให้เกิดปริมาณฝนที่หนาแน่น ฝนจะตกมากขึ้น น้ำทะเลจะหนุนสูงขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำจนเกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงและมหาศาล การยุบตัวของดินจะเกิดขึ้นเรื่อยๆและขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในส่วนของภาคกลาง พื้นแผ่นดินจะกลายเป็นแอ่งลึกลงไปแทบทั้งสิ้น ทางภาคใต้ต้องเตรียมรับมือกับพายุที่มีความรุนแรงเหมือนพายุเกย์ พายุลินดา สืบเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านของมรสุมจากประเทศฟิลิปปินส์ ที่เปลี่ยนทิศทางการเดินทาง นอกจากนั้นแล้ว ภาคใต้ตอนบนยังต้องเตรียมรับมือกับสตอมเสิร์จ (Stormsurge) ซึ่งภาวะแบบนี้จะลามมายังภาคกลางด้วย
ดร.พิจิตต กล่าวต่อว่า เราอาจจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่แตกต่างกันอย่างรุนแรงโดยไม่มีรูปแบบ ดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมรับมือ อาทิ เรื่อง ปัญหาอาคารทรุด หน่วยแพทย์ฉุกเฉินจะต้องรู้ว่าจะต้องเตรียมเครื่องมือในการค้นหาอย่างไร ทั้งนี้ ความเสี่ยงเรื่องภัยพิบัติของประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบของลมที่จะรุนแรงขึ้น และรูปแบบของฝนที่มากขึ้น และจะส่งผลให้ปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 30 ซึ่งปริมาณที่มากขึ้นนี้จะส่งผลให้เกิดการถ่ายน้ำทิ้งลงทะเลโดยไม่มีการกักเก็บ ก็จะส่งผลให้เกิดภัยแล้ง ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายในการทำงานของเราคือการสร้างความสมดุลระหว่างน้ำ ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดคือเรื่องรอยเลื่อนที่มีอยู่ในประเทศไทย ทั้งหมด 13 รอยเลื่อน ซึ่งรอยเลื่อนที่น่าเป็นกังวลมากที่สุด คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนแม่เมาะ ที่ในช่วง 2 ถึง 3 เดือนที่ผ่านมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ จังหวัดที่น่าเป็นห่วงที่อยู่ในบริเวณรอยเลื่อนเหล่านี้ คือจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นกังวลอีกเรื่องคือ ภัยอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้น เช่น ดินถล่ม จนส่งผลให้เกิดน้ำหลากเข้าสู่ชุมชน และอาจจะได้เห็นน้ำป่าที่หลากเข้ามาสูง 4-5 เมตร และยังมีปัญหาเรื่องวินด์เสิร์จ (windsurge) ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เกิดขึ้นจากลมซึ่งประสานความรุนแรงกับการกัดเซาะชายฝั่งจากน้ำ จะส่งผลความเสียหายให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ชายฝั่งเป็นจำนวนมาก และยังมีปัญหาของโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นตามมากับปัญหาเหล่านี้ด้วย
ผู้อำนวยการบริหารศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราจะต้องรีบทำซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายเรามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ข้อคือ 1. เราควรสร้างภูมิคุ้มกันให้คนในสังคมเข้มแข็ง ในเรื่องของการประเมินความเสี่ยง โดยในแต่ละหมู่บ้านจะต้องรู้ว่าตนเองจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัตอะไรบ้าง และจะต้องเตรียมการอย่างไร และการแพทย์ฉุกเฉินเองจะต้องเข้าไปจัดตั้งระบบเหล่านี้ให้เกิดขึ้น 2. เราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันในการช่วยเหลือแบบโต้ตอบเพราะที่ผ่านมาเมื่อเกิดภัยพิบัติ เราไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งสิ่งที่สำคัญจะต้องมีการสร้างชุมชนให้เป็นฐานของเราให้ได้ พร้อมกันนี้ก็จะต้องมีการสร้างระบบการประสานงานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในส่วนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะต้องประสานให้เกิดความเข้าใจให้ได้ว่าส่วนไหนควรมีไฟหรือไม่มีไฟ ในปริมาณของปัญหากว่าร้อยละ 30-40 เป็นเรื่องของการขาดการประสานงานแทบทั้งสิ้น
3. จะต้องมีการสร้างองค์ความรู้ในระบบเตือนภัยให้เกิดขึ้นกับชุมชนท้องถิ่น จะต้องฝึกให้ชาวบ้านคาดการณ์การพยากรณ์อากาศได้ เพราะเมื่อชาวบ้านมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้เบื้องต้นก็จะสามารถเตรียมการในส่วนของตนเองได้ นอกจากนี้ระบบเตือนภัยก็จะต้องทำให้มีการเข้าถึงอย่างรวดเร็วแม่นยำ เพื่อทำให้การเตรียมการป้องกันภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างทันท่วงที 4. ความท้าทายอีกเรื่องของการทำงานคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรักษาถนนในการคมนาคมหลักไว้ให้ได้ เพราะเมื่อถนนขาด เราก็ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ ซึ่งในเหตการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา สพฉ. ดำเนินการได้อย่างสัมฤทธิ์ผล เพราะว่าได้รับความร่วมมือจากหลากหลายฝ่าย ทั้งในส่วนของเรือและเฮลิคอปเตอร์
"ผมดีใจที่ สพฉ.จะมีการจัดอบรมเรื่องระบบบัญชาการ เพราะปัญหาที่ผ่านมาเราไม่มีศูนย์บัญชาการ ที่เป็นหน่วยงานหลัก ทุกฝ่ายต่างแย่งหน้าที่กันทำงาน ดังนั้นหากระบบบัญชาการสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบได้ ประชาชนจะได้รับประโยชน์มากที่สุด และสิ่งที่สำคัญคือเราจะเตรียมความพร้อมในเรื่องของชุมชนโดยชุมชนจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยในการเตรียมการเมื่อเกิดภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉิน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องทำงานแบบประสานความร่วมมือ จะไม่มีการทะเลาะกันของหลายหน่วยงานอย่างครั้งที่ผ่านมา และที่สำคัญที่สุดเราไม่ควรนำการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ฝ่ายการเมืองจะต้องตระหนักถึงจุดนี้ด้วย" ดร.พิจิตต กล่าว.
...