อธิบดีกรมอุทยานฯ โต้แทนนายกฯ เรื่องแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เพื่อชะลอการไหลของน้ำ ไม่ใช่การสั่งให้ปลูกป่าในระยะเวลา 3 เดือนอย่างที่วิจารณ์กัน แต่เป็นการบริหารจัดการน้ำทั้งหมด...
เมื่อวันที่ 16 ก.พ.นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้จัดทำแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เพื่อชะลอการไหลของน้ำ รวมทั้งการปลูกป่า 1.8 แสนไร่ ภายในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งมีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ทันแน่นอน ซึ่งกรมอุทยานฯ ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ในพื้นที่ 2 แสนไร่ และขณะนี้แต่ละพื้นที่กำลังดำเนินการจัดทำแผน เพื่อเสนอเข้ามาที่กรมฯ ซึ่งเรามีพื้นที่ที่จะดำเนินการอยู่แล้ว แต่รอรายละเอียดที่ชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ก่อน
อย่างไรก็ตาม ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการที่นายกฯ ให้เวลาดำเนินการภายใน 3 เดือนคงไม่สามารถดำเนินการในเรื่องการปลูกป่าได้ทันนั้น ระยะเวลา 3 เดือนไม่ได้รวมถึงเรื่องการปลูกป่า แต่หมายถึงการจัดทำฝายชะลอน้ำหรือฝายแม้ว ซึ่งตนได้มอบหมายแต่ละพื้นที่ไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ ก่อนที่หน้าฝนจะมาถึง ส่วนการปลูกป่า ใครเขาจะมาปลูกในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ ขืนปลูกไปก็ตายหมดเพราะเป็นช่วงหน้าแล้ง เรื่องปลูกป่าต้องเอาไว้ทยอยปลูกในช่วงหน้าฝนคือเดือน มิ.ย. เป็นต้นไป ซึ่งจะมีความชัดเจนในการดำเนินการเร็วๆ นี้
ด้านนายศักดา นพสิทธิ์ เลขานุการ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ กล่าวว่า คนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เข้าใจไม่ถูกต้อง กรอบระยะเวลา 3 เดือนของนายกรัฐมนตรี หมายถึงการบริหารจัดการน้ำทั้งหมด ส่วนการปลูกป่าจะแยกออกไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ดำเนินการภายใน 3 เดือน เช่นต้องขุดที่กักเก็บน้ำ แก้มลิง หรือขุดลอกคลองให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องการปลูกป่าก็ดำเนินการได้บางส่วน อาทิ ปลูกป่าชุมชนโดยกรมป่าไม้ หรือการปลูกหญ้าแฝกเพื่อชะลอน้ำ ไม่ใช่ความหมายว่าให้ปลูกไม้ยืนต้นให้เป็นป่าทั้งหมด เป้าหมายหลักของนายกรัฐมนตรี คือเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ส่วนเรื่องปลูกป่าเป็นลำดับถัดไป ซึ่งการปลูกป่าต้องทำไปเรื่อยๆ ทุกปี ไม่ใช่จะปลูกรวดเดียวเสร็จ 2 แสนไร่.
...