ตร.สอบสวนกลางสั่งอายัด "ช้าง 51 ตัว" ปางช้างไทรโยค ส่อเชื่อมโยงกับขบวนการล่าช้างแก่งกระจาน อธิบดีกรมอุทยานฯ เผยพิรุธเพียบ มีตั๋วรูปพรรณช้างเกินมา 7 ใบ แต่ไม่มีช้างมาแสดง ยืนยันซาซิมิ "จู๋ช้าง" มีจริงที่ภูเก็ต ด้านเจ้าปางฯจวกกรมอุทยานฯไม่หนุนการท่องเที่ยว...
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วยนายชัยวัฒน์ ลิมปวรรณ ผวจ.กาญจนบุรี และ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพาห์มณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจป่าไม้ และนายตำรวจตระเวนชายแดนกองร้อย 136 จ.กาญจนบุรี กว่า 50 นาย ได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นปางช้างไทรโยค เลขที่ 30/2 หมู่ที่ 3 บ้านลุ่มผึ้ง ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
โดยเมื่อมาถึงคณะของนายดำรงค์ได้ตรงไปที่ลานจัดแสดงช้าง บวิเวณริมแม่น้ำแควน้อย พบช้างจำนวนมากหลายขนาดจำนวนหลาย 10 ตัว กำลังแสดงโชว์นักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ขณะที่ช้างอีกจำนวนหนึ่งพานักท่องเที่ยวเดินท่องป่ารอบปางช้าง ซึ่งกินพื้นที่หลาย 10 ไร่ เมื่อคณะของนายดำรงค์มาถึงนักท่องเที่ยวรวมทั้งคนงานปางช้างต่างพากันแตกตื่นตกใจ และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่บางส่วนมีอาวุธคุ้มกันเข้าไปด้วย ทั้งนี้ ภายหลังทำความเข้าใจกันแล้ว ทราบว่าเจ้าหน้าที่มาขอตรวจสอบข้อมูลพื้นที่ฐานของปางช้าง ขอให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องตกใจ ทั้งนี้ นายดำรงค์ ได้ขอตรวจตั๋วรูปพรรณของช้างทั้งหมดจากนายสมศักดิ์ ทองโท ผู้จัดการปางช้างไทรโยค โดยนายสมศักดิ์อยู่ในอาการตื่นตกใจพูดจาไม่รู้เรื่อง

...
นายดำรงค์ กล่าวว่า การมาตรวจค้น เนื่องจากได้รับแจ้งว่าปางช้างแห่งนี้มีการนำช้างป่ามา สวมตั๋วรูปพรรณประมาณ 12 ตัว และมีตั๋วรูปพรรณแต่ไม่มีช้างอีก 7 ใบ จึงขอให้นำหลักฐานตั๋วรูปพรรณมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมนำช้างทั้งหมดในปางช้างมาแสดงต่อ น.สพ.สามารถ ประสิทธิผล หัวหน้ากลุ่มพัฒนาสุขภาพสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์ จ.กาญจนบุรี แต่นายสมศักดิ์แจ้งว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถหาตั๋วรูปพรรณมาแสดงได้เนื่องจากเก็บไว้หลายที่ ขณะที่ช้างบางส่วนได้นำนักท่องเที่ยวเข้าไปเดินชมป่า จึงไม่สามารถนำมาตรวจสอบเทียบเคียงได้ อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ศรีวราห์ ได้แจ้งกับนายสมศักดิ์ว่า ขณะนี้ได้จับกุมนายไชยพงษ์ แสนดี เจ้าของปางช้างไทรโยค และนายกสมาคมช้างไทย ในข้อหามีไม้เถื่อน อาทิ ไม้สัก ไม้กระยาเลย จำนวน 30 ท่อนไว้ในครอบครอง ทำให้นายสมศักดิ์ถึงกับตกใจไปกันใหญ่และแจ้งว่าจะรีบไปหาตั๋วรูปพรรณช้างมาแสดง
จากนั้นนายดำรงค์ และคณะได้เดินทางมาพบกับนายไชยพงษ์ ซึ่งถูกจับกุมอยู่บริเวณบ้านพักในปางช้าง เมื่อมาถึงนายดำรงค์ได้แจ้งความจำนงว่าจะมาขอตรวจสอบตั๋วรูปพรรณช้างจำนวน 7 ใบที่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีช้างตามที่ระบุในตั๋ว ขณะเดียวกันก็ขอพิสูจน์ช้างจำนวน 12 ตัว ที่มีตัวอยู่ในปางช้างแต่ไม่มีตั๋วรูปพรรณ ซึ่งนายไชยพงษ์ ได้ชี้แจงอย่างมีอารมณ์ว่า ตั๋วรูปพรรณช้าง 7 ใบ ที่ไม่มีช้างอยู่นั้น เป็นการซื้อช้างมาแบบซื้อมาขายไปนานมาแล้ว และช้างบางตัวก็ตายไปแล้ว ส่วนช้าง 12 ตัวที่ตั๋วรูปพรรณถูกเก็บไว้หลายที่ เนื่องจากมีการย้ายบ้านหลายครั้ง จึงไม่สามารถนำมารวบรวมได้ อย่างไรก็ตามอยากจะให้นายดำรงค์ และกรมอุทยานฯ ส่งเสริมในเรื่องช้าง เนื่องจากเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติเป็น จำนวนมาก อยากให้อุทยานฯ เปิดพื้นที่อุทยานฯ ให้มีการจัดแสดงช้าง เจ้าของจะได้ไม่ต้องพาช้างไปเร่ร่อน จึงขอยืนยันว่าช้างในปางช้างของตนถูกกฎหมายทุกตัว ไม่ได้เอาช้างป่าออกมา
ขณะที่นายดำรงค์ ได้อธิบายว่า กรมอุทยานฯ ไม่ได้มีหน้าที่ส่งเสริมการจัดแสดงโชว์ช้าง ซึ่งเป็นช้างบ้าน ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย แต่ตนมีหน้าที่ดูแลและนำช้างป่าที่ถูกลักลอบออกมาจากป่ากลับคืนสู่ป่า และที่มาไม่ได้มาหาเรื่อง แต่มาหาช้าง เพราะมีคนแจ้งเบาะแสมาว่าที่ปางช้างแห่งนี้มีการนำช้างป่ามาสวมตั๋วรูปพรรณ ถูกว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด
ทั้งนี้ นายดำรงค์ กล่าวกับนายไชยพงษ์ด้วยว่า ถ้าบริสุทธิ์ใจ ตนขอนำตั๋วรูปพรรณช้างจำนวน 7 ใบคืนได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้มีการนำช้างจากป่าออกมาแล้วใช้ตั๋ว 7 ใบนี้เข้าสวมแล้วอ้างว่าเป็นช้างบ้าน เนื่องจากเกรงว่าตั๋วรูปพรรณทั้ง 7 ใบ เป็นการออกไว้รอการนำช้างออกมาจากป่าหรือไม่ ปรากฏว่านายไชยพงษ์ชะงักไปชั่วขณะ นายดำรงค์ จึงกล่าวต่อว่า ถ้าบริสุทธิ์ใจขอให้คืนกับกรมอุทยานฯ เพื่อให้ส่งมอบให้ตำรวจตรวจสอบ จากนั้นนายไชยพงษ์ จึงได้นำตั๋วรูปพรรณช้างทั้ง 7 ใบ มาส่งมอบให้กับนายดำรงค์ โดยในตั๋วรูปพรรณช้างทั้ง 7 ใบ เป็นช้างที่มาจาก จ.แม่ฮ่องสอน 2 ใบ เพชรบูรณ์ 1 ใบ จันทบุรี 1 ใบ สุรินทร์ 2 ใบ และ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 1 ใบ
ด้าน พล.ต.ต. ศรีวราห์ กล่าวว่า ตนได้สั่งอายัดช้างจำนวน 51 ตัวของปางช้างไทรโยค เป็นช้างใหญ่จำนวน 45 เชือก และลูกช้างอีก 6 เชือก เพื่อตรวจสอบในหลายเรื่องที่ยังไม่มีความชัดเจน ได้แก่ 1. เป็นช้าง ตาม พ.ร.บ.สัตว์พาหนะหรือไม่ 2. เป็นช้างตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าหรือไม่ และ 3. มีใบควบคุมโรคติดต่อจากปศุสัตว์หรือไม่ โดยหลังจากนี้จะส่งมอบสำนวนให้กับผู้กำกับการตำรวจภูธร อ.ไทรโยคเจ้าของพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของตนได้เริ่มตรวจสอบกรณีดังกล่าวตั้งแต่มีการยิงช้างป่าในเขตอุทยานฯ แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมา โดยได้ติดตามตรวจสอบจากรถยนต์ต้องสงสัย ยี่ห้อซูซุกิ วิทารา สีดำ ทะเบียน 191 ภูเก็ต ที่เข้าพื้นที่แก่งกระจานในวันที่มีการยิงช้าง โดยตามไปถึง จ.ภูเก็ตซึ่งรถไปจอดที่หน้าบริษัท เอซี คอนดักเตอร์ จำกัด เลขที่ 561/10-4 อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยพบว่ารถคันนี้ยังถูกนำไปขนช้างแม่ลูกจำนวน 2 ตัว ในร้านขายของที่ระลึกแห่งหนึ่ง ใน ต.ฉลอง อ.เมือง ตัวแม่ชื่อลำดวน ส่วนลูกช้างเป็นตัวเมีย ชื่อน้ำฝน อายุ ประมาณ 2 ปี แต่มีข้อสังเกตคือตั๋วรูปพรรณที่ตรวจสอบกับปศุสัตว์ จ. ภูเก็ต ระบุว่าอายุ 31 ปี และมีที่มาจากปางช้างไทรโยค ซึ่งลูกช้างตัวดังกล่าวถูกล่ามโซ่และมีรอยแผลที่ข้อเท้าด้วย ดังนั้นเชื่อว่าขบวนการล่าช้างที่แก่งกระจาน ภูเก็ต และ กาญจนบุรี มีความเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใน จ.เพชรบุรี ระบุว่ารถซูซุกิ วิทารา สีดำทะเบียนภูเก็ต 191 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการล่าช้าง เหตุใดตำรวจสอบสวนกลางจึงระบุว่ามีความเชื่อมโยงกัน พล.ต.ต. ศรีวราห์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของตำรวจท้องที่ แต่ของตนเป็นสำนวนของตำรวจสอบสวนกลาง แยกกันทำ สุดท้ายเชื่อว่าจะสามารถเปิดโปงขบวนการค้าช้างให้สังคมรับรู้ได้อย่างแน่นอน
ด้านนายดำรงค์ กล่าวว่า ตนมีแผนที่จะเดินทางไปยังปางช้างทั่วประเทศ เพื่อที่จะตามหาลูกช้างป่า ที่ถูกล่าและนำมาสวมตั๋วรูปพรรณเป็นช้างบ้าน แม้ไกลแค่ไหนตนก็จะไป รวมทั้งจะพยายามผลักดันให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ตั๋วรูปพรรณช้างของกระทรวงมหาดไทย ให้มีการจดทะเบียนรูปพรรณตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 เดือน แทนที่จะมาเริ่มจดเมื่อช้างอายุได้ 8 ปี เพราะหากปล่อยไปอย่างนี้ช้างหมดป่าแน่นอน เมื่อถามว่าการนำอวัยวเพศช้างมาทำซาซิมิยังยืนยันว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นายดำรงค์ กล่าวว่า เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นที่ จ.ภูเก็ต แห่งเดียว โดยพฤติกรรมคือบริษัททัวร์จะสั่งซื้ออวัยะต่างๆ ของช้างรวมทั้งอวัยวะเพศของช้าง เมื่อได้รับการยืนยันชัดเจนจากพรานว่าจะได้ของแน่นอน บริษัททัวร์จะประสานไปยังต่างประเทศให้ลูกทัวร์นั่งเครื่องเข้ามาท่องเที่ยว ในประเทศไทย เมื่อมาถึงโรงแรมก็นำรถตู้รับลูกทัวร์ไปกินอวัยวะต่างๆ ของช้างรวมทั้งอวัยเพศ ตามความเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มพลังทางเพศ ให้มีพลังช้างสารได้ ดังนั้นเมื่อมีความต้องการช้างและอวัยวเพศช้าง พฤติกรรมในการล่าช้างจึงเหี้ยมโหดผิดมนุษย์
ทั้งนี้ น.สพ.สามารถ ได้นำเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปศุสัตว์ จ.กาญจนบุรี เข้าไปเจาะเลือดและเก็บตัวอย่างขนของช้างทั้งหมด 12 ตัว ที่ปางช้างอ้างว่าเป็นคู่แม่ลูกกัน เพื่อเปรียบเทียบและตรวจสอบสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ว่าเป็นแม่ลูกกันจริงหรือไม่ โดยได้ส่งตัวอย่างเลือดและขนช้างไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหิดล กทม. และ จะทราบผลภายใน 2 สัปดาห์.