ใครไปบ้านผมตอนนี้ คงจะได้เห็นกระดาษเงิน-ทองพับกองสุมอยู่เต็มห้อง เพื่อเตรียมไว้เผาในพิธีไหว้เจ้าที่กำลังจะมาถึงเร็ววันนี้ ผมไหว้เจ้ามานานแล้วครับ เรียกว่าเกิดมาจำความได้พอถึงเดือนธันวาคม เราก็จัดตกแต่งบ้านเป็นเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพราะแม่ของผมเป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์ แม่จึงผูกพันกับวันคริสต์มาสมาก ครั้นผ่านเทศกาลดังกล่าวไปแล้วราวกลางเดือนมกราคม เราจะเริ่มเข้าสู่บรรยากาศตรุษจีน ด้วยการเริ่มมหกรรมการพับกระดาษเงิน-ทองเป็นรูปแท่งเงิน รูปเรือ และรูปอื่นๆ อีกหลายแบบ การไหว้เจ้าที่บ้านผมเป็นการไหว้เจ้าที่ผสมผสานประเพณีจีนไทยเข้าด้วยกันแล้วครับ เราจะไหว้ทั้งเทพยดาต่างๆ ตามคติจีน และไหว้บรรพบุรุษและบุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว  

เพื่อนฝูงและลูกศิษย์ลูกหาชอบถามผมอยู่เรื่อย ว่าหน้าตาผมก็แสนจะไท้ไทย ทำไมจึงไหว้เจ้า อันนี้ขอยกไว้ในภายหน้าที่จะต้องสาธยายกันยืดยาวต่อไป เอาเป็นว่าบรรพบุรุษของผมมีเชื้อสายจีน และทุกท่านก็รักเมืองไทย ไม่เคยมีใครมีความรู้สึกแบ่งแยกหรือแตกต่างเลย พวกเราทุกคนเรียกตัวเองว่า “คนไทย” อย่างภาคภูมิใจครับ และผมเองก็ได้สรุปด้วยความรู้สึกของผมเองว่า “คนไทย” ในความรู้สึกนึกคิดของผมคือ คนที่มีการผสมผสานสายเลือดพื้นเมืองกับสายเลือดจีน ลาว มอญ แขก และอื่นๆ อีกมากมาย ตัวผมเองแล้วไม่มีความเชื่อในสายเลือดบริสุทธิ์ของคนที่บอกว่าตนเองเป็น “คนไทย” ...ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะเท่าที่สอบถามเพื่อนฝูงคนรู้จักทั้งหลายให้ลองสืบค้นสายบรรพบุรุษของ ตนเอง สืบทั้งสายพ่อ-สายแม่เลย ผลคือยังไม่มีใครแจ้งกลับมาซักคนว่าตนเองมีสายเลือดบริสุทธิ์ ปราศจากการผสมผสานสายเลือดแม้แต่น้อย  

แม้แต่พระมหากษัตริย์ไทยในพระราชวงศ์จักรีทุกรัชกาลนั้น หากลองสืบค้นต้นสายราชสกุลวงศ์ของแต่ละพระองค์แล้ว ก็ไม่ปรากฏพบว่าพระองค์ใดจะทรงมีสายพระโลหิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากการผสมผสาน แต่อย่างใด และสายเลือดจีนถือว่าเป็นสายเลือดที่สำคัญและแรงที่สุดที่ปรากฏพบในทุกรัชกาล เริ่มต้นจากสมเด็จพระปฐมบรมราชชนกทองดี ซึ่งเป็นพระราชบิดาของรัชกาลที่ 1 ผมขออนุญาตใช้คำสามัญในการเล่าก็แล้วกันนะครับว่า บิดาของรัชกาลที่ 1 มีนามว่า ทองดี ได้แต่งงานกับลูกสาวของคหบดีชาวจีนแท้ๆ ที่มีชื่อว่าดาวเรืองหรือหยก ดังนั้นรัชกาลที่ 1 จึงทรงมีสายเลือดจีนอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของพระองค์ท่านเอง เลยทีเดียว ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 1 แต่งงานกับคุณนาก ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระอมรินทรามาตย์นั้น ตัวคุณนากเองก็เป็นลูกครึ่งไทย-จีน มาจากทางอัมพวา ดังนั้นพระราชโอรสที่เกิดมาคือรัชกาลที่ 2 จึงต้องมีสายเลือดประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่...ถึงตอนนี้ท่านใดเก่งวิชาเลขหรือ คำนวณต้องรีบมาช่วยผมในเรื่องของการคำนวณเศษส่วนต่างๆ ด้วยครับ เพราะผมตกวิชาเลขมาตั้งแต่เริ่มเรียนหนังสือชั้นประถมโดยตลอดครับ

ส่วนรัชกาลที่ 3 นั้น ทรงรับสายเลือดไทย-จีนมาจากพระราชบิดาคือรัชกาลที่ 2 แต่พระราชมารดาคือ เจ้าจอมมารดาเรียม ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีสุลาลัย ท่านนี้มีสายเลือดไทยมุสลิม ดังนั้นพระองค์จึงทรงมีสายเลือดผสมหลายสาย และมีสายเลือดจีนประมาณเศษหนึ่งส่วนแปด

ครั้นถึงรัชกาลที่ 4 ทรงรับสายเลือดจีนโดยตรงมาจากพระราชบิดาคือรัชกาลที่ 2 ซึ่งก็มีเชื้อจีนมาแล้วเศษหนึ่งส่วนสี่ ฝ่ายพระราชมารดาคือสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีนั้น พระนามเดิมคือ เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดเป็นลูกสาวของพี่สาวของรัชกาลที่ 1 คือกรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งกรมพระศรีสุดารักษ์ท่านนี้ได้สามีเป็นคหบดีชาวจีนแท้ๆ มีชื่อเรียกขานยกย่องว่า ท่านขรัวเงิน ดังนั้นเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดจึงทรงมีเชื้อจีนมากกว่าครึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะจากสายเลือดพ่อที่เป็นจีนเต็มร้อย กับสายเลือดแม่ที่มีตาเป็นไทย-ยายเป็นจีนหรือประมาณเศษสามส่วนสี่เลยทีเดียว จึงทำให้รัชกาลที่ 4 ทรงมีเชื้อจีนครึ่งหนึ่งของพระองค์

ครั้นถึงรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานปู่ของรัชกาลที่ 2 จึงทรงมีเชื้อจีนสืบมาทางสายพระราชบิดาอย่างน้อยที่สุดคือเศษหนึ่งส่วนสิบหก เมื่อมารวมกับสายพระราชมารดาแล้ว ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงมีเชื้อจีนเพิ่มมากขึ้น และอาจมีมากกว่าเศษหนึ่งส่วนสี่เสียด้วยซ้ำ รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระมเหสีหลายพระองค์ ในจำนวนนั้นมีอยู่ 3 พระองค์ที่เป็นพี่น้องเรียงกันคือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา (คือสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ทรงเป็นย่าแท้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี (คือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรม ราชินีนาถ) ทรงเป็นพระราชมารดาของรัชกาลที่ 6 และ 7 พระมเหสีทั้ง 3 พระองค์นี้ทรงเป็นพระธิดาของรัชกาลที่ 4 (ร่วมพ่อเดียวกันกับรัชกาลที่ 5) และร่วมพระราชมารดาเดียวกันคือเจ้าจอมมารดาเปี่ยม (ต่อมาสถาปนาเป็นสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา) โดยที่รัชกาลที่ 4 ทรงมีสายเลือดจีนอยู่ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อได้มารวมกับสายเลือดผสมจีนของเจ้าจอมมารดาเปี่ยมที่เข้มข้น ทำให้พระธิดาทั้ง 3 พระองค์ผู้ต่อมาได้เป็นพระมเหสีของรัชกาลที่ 5 และเป็นพระบรมราชบุพการีของรัชกาลที่ 6, 7, 8, 9 ต่อมา เจ้าจอมมารดาเปี่ยมผู้นี้เป็นธิดาคหบดีจีนแท้ๆ ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอาสาสำแดง (แตง) กับมารดาที่เป็นไทยคือท้าวสุจริตธำรงค์ (นาค) ทำให้เจ้าจอมมารดาเปี่ยมนั้นเป็นลูกครึ่งไทยจีนอย่างแท้จริง ซึ่งได้ส่งผ่านสายเลือดผสมนี้ต่อมายังทุกรัชกาลที่สืบต่อ

จากพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 7 ที่พระราชทานไว้ในพิธีเปิดโรงเรียนจีน เมื่อพ.ศ. 2470 มีข้อความที่เป็นเครื่องยืนยันในสายเลือดผสมนี้เป็นอย่างดียิ่งคือ ....“....อันที่จริงไทยกับจีนนั้น ต้องถือว่าเป็นชาติที่เป็นพี่เป็นน้องกันโดยแท้ นอกจากนี้เลือดไทยกับจีนได้ผสมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว จนต้องนับว่าแยกไม่ออก ข้าราชการชั้นสูงๆ ที่เคยรับราชการหรือรับราชการอยู่ในเวลานี้ ที่เป็นเชื้อจีนก็มีอยู่เป็นอันมาก แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็มีเชื้อจีนปนอยู่ด้วย โดยเหตุเหล่านี้ไทยและจีนจึงได้อยู่ด้วยกันได้อย่างสนิทสนมกลมเกลียวมาช้านาน...”

ส่วนพระราชโอรสธิดาทั้ง 4 พระองค์ของพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น ก็ต้องทรงมีเชื้อสายจีนผสมผสานอยู่ในพระองค์อย่างไม่น้อยเลย เพราะนอกจากเชื้อจีนทางฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังทรงมีเชื้อจีนทางฝ่ายสมเด็จพระนางเจ้าฯ อีกอย่างมาก โดยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯทรงสืบสายพระโลหิตจากรัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาอ่วม ซึ่งทางฝ่ายเจ้าจอมมารดาอ่วมนั้น เป็นธิดาของอภิมหาเศรษฐีจีนแท้ๆ คือเจ้าสัวยิ้ม หรือพระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ (ต้นตระกูลพิศัลยบุตร) เมื่อประสูติพระราชโอรสออกมาทรงพระนามว่าพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ทำให้ทรงมีเชื้อจีนที่ค่อนข้างเข้มข้น จนทรงถูกล้อเลียนด้วยความเอ็นดูจากบรรดาเจ้านายและชาววัง ในความหน้ารัก ผิวขาว ตาตี่ หางคิ้วหางตาตวัดเฉียง โดยเติมสร้อยคำหลังวัน เดือน ปี ที่ประสูติว่า “ปีจอ วันจันทร์ เดือนเจ็ด ลูกเจ้า หลานเจ๊ก” คำว่าลูกเจ้าคือทรงเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ส่วนหลานเจ๊กนั้นคือทรงเป็นหลานตาของเจ้าสัวยิ้มนั่นเอง ทรงเป็นต้นราชสกุลกิติยากรของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงทำให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา ทรงมีสายเลือดจีนรวมอยู่ในพระองค์อย่างชัดเจน  

นอกจากนั้นแล้วราชสกุลวงศ์ต่างๆ ในพระราชวงศ์จักรีเอง ก็มีมากมายหลายราชสกุลที่สืบสายบรรพบุรุษมาจากสายเลือดจีน เท่าที่นึกได้ตอนนี้ก็มีราชสกุลเทวกุล ราชสกุลสวัสดิวัตน์ ราชสกุลจิตรพงศ์ ราชสกุลยุคล ราชสกุลประวิตร ราชสกุลกิติยากร เป็นต้น

ในเทศกาลตรุษจีนของทุกปี นอกจากชาวไทยเชื้อสายจีนจะได้ประกอบพิธีไหว้เจ้าหรือบรรพบุรุษ ที่บ้านอาคารร้านค้าของตนเองแล้ว ในราชสำนักเองก็มีพระราชพิธีสังเวยพระป้ายเป็นประจำทุกปีเสมอมา โดยกำหนดพระราชพิธีนี้เป็น 2 วันด้วยกัน โดยในวันแรกจะเป็นการสังเวยพระป้ายก่อน คือพระป้ายพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี และพระป้ายพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ โดยพระป้ายทั้ง 2 องค์นี้จารึกเป็นภาษาจีน บนแผ่นไม้จันทน์หอม มีการแกะสลักลวดลายจีนและลงรักปิดทองที่ขอบพระป้าย เชิญประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้วแบบเก๋งจีน ที่แกะสลักลงรักปิดทองอย่างวิจิตรยิ่ง ตั้งอยู่ ณ ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ พระราชวังบางปะอิน อยุธยา โดยจะมีการสังเวยพระป้ายดังกล่าวมาแล้วนี้ในวันที่ตรงกับวันไหว้ของจีน

ส่วนวันที่สองหรือวันถัดมาที่ตรงกับวันตรุษจีน คือวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ตามปฏิทินจีน จะเป็นการสังเวยพระป้ายที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยพระป้ายจะแปลกออกไป คือเป็นเทวรูปหล่อ ทรงเครื่องกษัตริยาธิราช พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายจีบขึ้นเสมอพระอุระ เหมือนกับองค์พระสยามเทวาธิราชทุกประการ แต่พระพักตร์ลักษณะเหมือนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้วแบบจีน ทำด้วยไม้จันทน์หอม แกะสลักลวดลายลงรักปิดทอง พร้อมฉัตร 5 ชั้นตั้งเคียงอยู่ 2 ข้าง และมีพระปรมาภิไธยจารึกไว้ด้านหลังของซุ้มเรือนแก้วนั้นเป็นภาษาจีน

พระราชพิธีสังเวยพระป้ายนี้เริ่มมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 5 จนปัจจุบัน เครื่องสังเวยหรือเครื่องไหว้ของหลวงนั้นจะเป็นเครื่องคู่ คือมีอย่างละ 2 สำรับ ประกอบด้วยหัวหมู เป็ด ไก่ ขนมเข่ง ขนมเปี๊ยะ ซาลาเปา ผลไม้ กระดาษเงิน กระดาษทอง วิมานเทวดาที่ทำด้วยกระดาษ ผ้าสีชมพู ประทัด ดอกไม้ ธูป เทียนเงิน เทียนทอง ในเวลาที่จะสังเวยนั้น พระเจ้าอยู่หัวจะทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ และทรงจุดธูปหาง คือธูปยาวๆอย่างที่พวกเราใช้จุดกันทั่วไป แล้วทรงปักที่เครื่องสังเวยทั้งหมด เจ้าพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ แล้วทรงเผากระดาษเงินกระดาษทอง เมื่อธูปที่เครื่องสังเวยหมดดอก เจ้าพนักงานจึงจะลาเครื่องสังเวยออก แล้วนำวิมานเทวดาไปปักในแจกันใต้เครื่องบูชา พร้อมทั้งผูกผ้าสีชมพู เป็นเสร็จพิธี

เขียนเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมากเหลือเกิน มีเรี่ยวแรงและกำลังใจที่จะตระเตรียมเครื่องไหว้เจ้าที่เป็นโกลาหลทุกปี เพราะรู้สึกอบอุ่นในและภาคภูมิใจที่พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ที่ผมเคารพ รักนับถือ ก็ทรงมีเชื้อสายจีนอยู่ในพระองค์เฉกเช่นเดียวกับคนไทยอีกมากมายหลายสิบล้านคนทั่วประเทศ ทำให้มีความรู้สึกว่าพระมหากษัตริย์กับราษฎร มิได้ห่างไกลกันเลยแม้แต่น้อย เพราะมีสายเลือดผสมผสานที่ผูกพันใกล้ชิดประดุจญาติที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ได้มีโอกาสร่วมแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีด้วยการไหว้เจ้าเช่นเดียวกัน และที่นอกเหนือสิ่งอื่นใดคือได้อยู่ร่วมผืนแผ่นปฐพีเดียวกัน มีความรักและหวังดีต่อประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอนที่บรรพบุรุษจีนได้เดินทางมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแต่อดีตกาล โดยปราศจากอคติใดๆ ทั้งปวงเช่นเดียวกันด้วย.

...

ไหว้เจ้าตรุษจีน : เมื่อ 'เจ้า' ไหว้เจ้า

เผ่าทอง ทองเจือ
www.facebook.com/เผ่าทอง ทองเจือ
paothong_pan@hotmail.com