ไก่บ้านสีทองโตเต็มวัยลักษณะจะคล้ายไก่เบตง.
ที่ผ่านมาในบ้านเราทั้งภาครัฐ เอกชน ต่างมุ่งพัฒนาพันธุ์ “ไก่” เพื่อให้ ทนต่อสภาพแวดล้อม มีความ ต้านทานโรค ซึ่งนอกจากเป็น ทางเลือกสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยง ยังเป็นการตอบสนองความต้องการ “เปิบ” ของกลุ่มผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง
...ส่งผลให้ปัจจุบันบ้านเรามีไก่สายพันธุ์ใหม่ๆ อย่างประดู่หางดำเชียงใหม่ 1 ลูกผสมสามสายพันธุ์ รวมทั้งไก่บ้านสีทอง...
นายบุญช่วย การะเกตุ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บอกกับทีมงาน “หลายชีวิต” ว่า...แม้อุปนิสัยการกินของคนไทยจะชอบไก่ที่มีเนื้อเหนียว หนังนุ่ม แม้ไม่ตรง “โดนใจ” ถูกปากการกินของคนไทยนัก แต่ทางซีพีเอฟก็ยังมุ่งพัฒนาสายพันธุ์ “ไก่บ้านสีทอง”

...ที่คุณภาพซาก เนื้อจะแทรกไขมัน เนื้อนุ่ม แน่น ไม่เหนียว ที่สำคัญ เนื้อไม่ยุ่ยเละ หนังบางไขมันติดผิวหนังน้อย รสชาติหวานอร่อย มีกลิ่นหอมเฉพาะ ควบคู่กับ “ไก่ดำพื้นบ้าน” เพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มคน “เปิบ”...
สำหรับ “ไก่บ้านสีทอง” ต้นพันธุ์มาจากประเทศ ฝรั่งเศส แล้วนำมาพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้มีความต้าน ทานโรค เข้ากับสภาพแวดล้อมบ้านเราได้ดี เรื่อยมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี กระทั่งได้สายพันธุ์ที่สมบูรณ์
โดยใช้เทคนิคทีมปรับปรุงพันธุ์ ซึ่ง การคัดเลือกเพื่อใช้เป็นพ่อ–แม่พันธุ์ จะดูแลตลอดต่อเนื่องตั้งแต่เป็นลูกเจี๊ยบ เพื่อให้ได้คุณภาพดีน้ำหนักตัวโตตามมาตรฐาน มีความสม่ำเสมอ ซึ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อไข่เชื้อที่ออกพร้อมกันทั้งฝูง...
...
หลังได้สายพันธุ์ที่นิ่ง พ่อพันธุ์ จะมีลักษณะโครงสร้างคล้ายไก่เนื้อ แต่ สีขน จะทองปนน้ำตาลเข้า รูปร่าง ลักษณะทั่วไปคล้ายพ่อพันธุ์ไก่เนื้อ พร้อมที่จะขยายพันธุ์เมื่ออายุ 25 สัปดาห์ ช่วงนี้น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.4-3 กิโลกรัม

....การคัดไก่เพศผู้เพื่อใช้ทำพ่อพันธุ์นั้น ดูจากโครงสร้าง หงอนจักรตั้ง สีสด ปีก แข้ง มีความแข็งแรง และที่สำคัญ น้ำเชื้อที่ได้ต้องแข็งแรง น้ำหนักตัวซึ่งโตเต็มที่หนักประมาณ 4 กิโลฯ...
ส่วนแม่พันธุ์ เริ่มให้ไข่ซึ่งหมายถึงพร้อมที่จะนำไปผสมน้ำเชื้อเมื่ออายุ 24 สัปดาห์ น้ำหนักตัวอยู่ที่ 2.2 กิโลฯ ซึ่งลักษณะที่ดีน้ำหนักต้องได้มาตรฐานตามที่กำหนด โดยโครงสร้าง ปาก คงรูปสวยงาม หัว ตั้ง ดวงตา ใส อก ใหญ่ สีขน สีเหลืองปนน้ำตาลเข้ม ร่าเริง ปีก ไม่ตก แข้ง เหลืองทอง แข็งแรงไม่บิดงอ สามารถให้ไข่จำนวน 180 ฟอง/ ตัว (อายุ 42 สัปดาห์)
โดยอัตราส่วนการเลี้ยง หากปล่อยตามธรรมชาติใช้อัตราที่ 1 : 13 ตัว แต่ทางบริษัทจะใช้การผสมเทียมแทนเพื่อป้องกันไม่ให้พ่อแม่พันธุ์โทรมเร็ว โดยใช้อัตราที่ 1 : 6 ตัว และสามารถรีดน้ำเชื้อได้นาน 25 สัปดาห์
แต่ขึ้นอยู่กับสุขภาพความแข็งแรงของน้ำ เชื้อและตัวพ่อพันธุ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งฝูงพ่อแม่พันธุ์ที่เลี้ยง
จะพัฒนาและคัดสายพันธุ์ ด้วยฟาร์มระบบปิดของบริษัท เพื่อให้ได้ลูกเจี๊ยบคุณภาพ ส่งต่อไปยังฟาร์มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงต่ออีกเพียง 8 สัปดาห์ สามารถจับขายตลาดได้
สำหรับเกษตรกรที่สนใจรายละเอียด หรือเข้าร่วมโครงการสามารถติด ต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.08–3988–0987 ในวันเวลาที่เหมาะสม.
เพ็ญพิชญา เตียว