สัปดาห์ ที่ผ่านมา ราคาทองคำสามารถยืนได้เหนือเส้น 1130 เหรียญแล้ว กองทุน SPDR เข้าซื้อสัปดาห์ที่ผ่านมาถึง 9.13 ตัน ถือว่าไม่ธรรมดาครับ แต่สัญญาณเทคนิค ดูจะเริ่มติด อาจทำให้ราคายังขยับไปไหนไม่ได้ไกลนัก คงต้องติดตามดูกันต่อไป รอบนี้ ผมจะขอพักยกมาเล่ามุมมองอื่นที่น่าสนใจ เรื่องราคาทองคำ ที่มองกันว่า มันน่าจะแพงกว่านี้อีก แต่ทำไมราคามันยังไปไม่ถึงไหน ลองมาไล่เรียงกันดูครับ เรื่องนี้ดูจะผูกโยงกันหลายเรื่อง คงเล่าสัปดาห์เดียวไม่จบ ต้องขอแบ่งเป็น 2 ตอน
ทองคำ เคยมีมูลค่าแค่ 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เท่านั้น หลังจากยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์สหรัฐไว้กับทองคำ มาถึงปัจจุบัน ราคาทองคำขึ้นมาแล้ว 30 เท่า แต่ฝรั่งบางคนยังบอกว่าถูกไป สาเหตุหลัก ก็คือการเสื่อมค่าของเงินกระดาษครับ (fiat-currency) เคยมีงานวิจัยว่า ราคาทองคำ ไม่ว่าจะสวิงหรือแกว่งตัวมากแค่ไหน สุดท้าย ก็จะกลับมาสัมพันธ์กับอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ชนิด 1:1 เลย เพราะทองคำถูกตีมูลค่าในเทอมดอลลาร์สหรัฐ มีการคำนวณช่วงก่อนเกิดวิกฤติซัพไพร์มว่า มูลค่าคำนวณตามเงินเฟ้อ ควรจะอยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐโน่นเลย แต่ราคาที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นคือ 1,032 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2008 เท่านั้น ล่าสุด ลองดู chart ข้างล่าง ดูปริมาณเงินที่เฟดหรือธนาคารกลางสหรัฐอัดฉีดเข้าระบบ หลังประสบวิกฤติซัพไพร์มประกอบดูครับ ว่ามันมหาศาลขนาดไหน ประเด็นนี้ทำเงินเฟ้อ หรือเงินล้นระบบครับ เป็นเหตุให้มีคนนำไปคำนวณใหม่แล้วบอกว่า ทองคำจะไป 5000 เหรียญโน่นเลยครับ ฝันมากไปมั๊ย? อันนี้ ยังไม่มากนะครับ บางคนคำนวณได้ 9,000 ดอลลาร์สหรัฐเลย ว่าไปนั่น
ช่วง นี้ คงได้ยินเฟดพูดเรื่อง exit strategy ก็คือการหาวิธีการถอนเงินก้อนนี้ออกจากระบบนั่นแหละครับ แค่พูด เงินก็ไม่เฟ้อแล้ว และทองคำก็ยังขึ้นไม่ได้สักที แต่นั่นยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายหรอกครับ คำพูดไม่ใช่การกระทำ เงินที่ใช้ไปแล้ว เรียกคืนยากครับ วิกฤติซัพไพร์ม เป็นวิกฤติที่ร้ายแรงกว่าที่เคยเกิด เพราะนวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ที่ซับซ้อนจนสามารถทำให้ปริมาณเงินที่มี อยู่ เพิ่มขึ้นเป็น 10 หรือ อาจจะเป็น 100 เท่าได้เลย ความเสียหายที่เกิด จึงมากกว่าอดีตมากนัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้คุมกฏ (สหรัฐ) เป็นซะเอง แถมไม่ยอมให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินบางแห่งที่เกี่ยวข้องล้มละลาย ด้วยเหตุผลว่า too big too fail หรือใหญ่เกินจะล้ม ก็คงต้องดูกันต่อไปครับ ว่าจะลากกันไปได้ถึงไหน มอง การกระทำ อาจจะซับซ้อนเกินเข้าใจ มองเป้าหมายดีกว่า ง่ายกว่าครับ เป้าหมายเฟด ต้องการประคองเศรษฐกิจ ตลาดทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันครับ สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก ที่ยังคงก่อหนี้เพิ่มต่อเนื่อง และแทบจะบอกได้ว่า น่าจะไม่มีปัญญาจ่ายหนี้แล้วครับ สิ่งที่ต้องทำคือ ลดค่าเงินครับ และทำให้เศรษฐกิจ ตลาดทุน กลับมาทำเงินได้เร็วที่สุด
การ ดึงเงินก้อนนี้ออก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็ง เศรษฐกิจจะฟุบครับ คุณเบอนันเกจึงต้องละเมียดละไม คิดหน้าคิดหลัง ว่าจะเอาไงดี แต่เราไม่ต้องไปคิดมากตามแกก็ได้ครับ สุดท้าย เงินก้อนนี้จะอยู่ในระบบต่อไป เพราะสุดท้าย สิ่งที่เหลือในตลาด คือผลของการกระทำครับไม่ใช่ผลจากแค่ลมปากก็จะพอเล่า มาตั้งนาน ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวหรือเปล่า แต่ผมต้องการโยงกรณีธนาคารกลางให้ความช่วยเหลือธนาคารขนาดใหญ่บางแห่ง ชัดๆก็ เจพี มอแกน หรืออย่างโกลด์แมน แซก หรือก็คือพวก too big too fail นี่แหละครับ ตอนเกิดวิกฤติซัพไพร์ม โดยการให้ยืมทองคำออกมาขาย น่าแปลกใจมั๊ยครับ ขายทองคำราคาดีๆไม่ชอบหรือ ได้เงินเยอะ แล้วทำไมต้องทุบราคาทองคำด้วย
เรื่อง นี้ผมก็งงมานาน ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ราคาทองคำเป็นไปตามกลไกตลาด ราคาทองคำเมื่อขึ้นถึงหรือใกล้เป้าหมายทางเทคนิค จะถูกทุบลงมาอย่างสาหัสประจำ ปี 2008 ที่ขึ้นไปถึง 1,032 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะทรุดลงอย่างแรง สุดท้ายมาถึง 680 ดอลลาร์สหรัฐ เจพี มอแกน ถูกเปิดเผยชื่อมาภายหลังว่า เป็นผู้ถือสัญญา Short (ขาย) ไว้จำนวนมากในครั้งนั้นครับ
เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับกลไกตลาดทองคำจริงกับตลาด Futures ครับ เรื่องนี้เล่าได้ยาวอีกฉาก คงต้องมาต่อกันสัปดาห์หน้า เราค่อยมาโยงสิ่งที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ราคาทองคำที่โดนทุบ ทองคำในสต๊อกตลาด COMEX ที่ลดลงฮวบฮาบ แล้วมาตามวิเคราะห์กันต่อครับ ว่าจะมีการทุบแบบน่าเกลียดอีกมั๊ย เรื่องนี้ ผมตอบไว้ก่อนเลยว่าไม่มีหรอก แต่ถ้าพุ่งแบบไล่ไม่ทัน อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน
kumponys (at) thaigold.info