รวบแม่และพ่อเลี้ยงฆ่า “น้องรุ้ง” ถ่วงน้ำดับสยองลอยอืดในคลองสำโรง ตำรวจตามล่าจับกุมที่ จ.สระบุรี ยอมจำนน สารภาพแม่ใช้ไม้ไผ่กระหน่ำตีลูกจนร่างน่วมเขียวช้ำไปทั้งตัว อ้างเด็กดื้อและชอบโกหก ซ้ำยังขังไว้ในบ้านเช่าจนสิ้นลม แล้วร่วมกันวางแผนอำพรางศพ จับมัดมือมัดเท้ายัดร่างใส่กระสอบใช้ก้อนหินถ่วงน้ำโยนลงคลอง ขณะที่ตำรวจคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผน ชาวบ้านต่างตะโกนสาปแช่งกับพฤติกรรมโหด
จากคดีสยองฆ่าเด็กสาวนิรนามอายุไม่เกิน 15 ปี คนร้ายใช้ผ้าห่มและผ้านวมห่อมัดศพถ่วงน้ำในคลองสำโรง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ต่อมาศพลอยขึ้นอืดติดกับกอสวะ ตำรวจระดมกำลังหาข่าว ชาวบ้านแจ้งเบาะแสคาดเป็นฝีมือพ่อเลี้ยงกับแม่พักอาศัยอยู่ในบ้านเช่าบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ทั้งคู่มักจะทำร้ายและจับลูกขังไว้ในบ้านช่วงออกไปทำงานที่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเวลโก จ.ฉะเชิงเทรา ขณะที่ฝ่ายสืบสวนไปตรวจสอบที่บ้านเช่าดังกล่าว พบสองผัวเมียเก็บข้าวของย้ายหนีออกไปแล้ว แนวทางการสืบสวนพยานจำเสื้อผ้าของผู้ตายได้ระบุชื่อ ด.ญ.พรทิพย์ หรือน้องรุ้ง กุลนานันท์ อายุ 10 ขวบ ลูกของ น.ส.สุภาพร นนทรา เลิกรากับสามีเก่ามาอยู่กินกับนายวจะรัน ทัดสวรรค์ อายุ 35 ปี มีลูก ด้วยกัน 1 คน อายุ 3 ขวบ ก่อนเกิดเหตุ น.ส.สุภาพร ไปรับ ด.ญ.พรทิพย์มาจาก จ.ร้อยเอ็ด ให้มาอยู่ที่บ้านเช่า สร้างความไม่พอใจให้แก่นายวจะรันสามีใหม่ คาดเป็นสาเหตุคดีฆาตกรรมอำพรางในครั้งนี้
...
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 14 มิ.ย. พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.อำนาจ จันทร์เจริญ ผบก.สส.ภ.1 พล.ต.ต.ธรรมนูญ ไตรทิพยพงศ์ ผบก.ภ.จ.สมุทรปราการ ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนายวจะรัน ทัดสวรรค์ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18/5 หมู่ 9 ต.ขุนโขลน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี และ น.ส.สุภาพร นนทรา อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 36 หมู่ 10 ต.แสนสุข อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด สองผัวเมียฆ่า ด.ญ.พรทิพย์ หรือน้องรุ้ง กุลนานันท์ อายุ 10 ขวบ แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและร่วมกันซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลาย เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย รวบตัวที่บ้านใน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า หลังเกิดเหตุฝ่ายสืบสวนออกติดตามหาข่าวจนรู้ผู้เสียชีวิต คือ ด.ญ.พรทิพย์ หรือน้องรุ้ง กุลนานันท์ อายุ 10 ขวบ พักอยู่กับ น.ส.สุภาพรเป็นแม่ และนายวจะรันพ่อเลี้ยงที่บ้านเช่าใกล้จุดพบศพ ประกอบกับมีญาติของน้องรุ้งมาขอดูภาพถ่ายศพพร้อมยืนยัน ตำรวจฝ่ายสืบสวนออกติดตามตัวจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้บ้านญาติผู้ต้องหาที่ จ.สระบุรี ตรวจสอบประวัตินายวจะรันเคยต้องโทษคดียาเสพติด ต่อมาตำรวจคุมตัวนายวจะรันไปตรวจสารเสพติดพบฉี่สีม่วง
ด้าน พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภ.1 กล่าวว่า สอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การรับสารภาพหลัง น.ส.สุภาพรรับน้องรุ้งมาอยู่ประมาณ 3 เดือน ก็เริ่มทุบตีลูกอ้างว่าลูกดื้อและชอบโกหกและขังไว้ในห้องพร้อมกับลูกสาววัย 3 ขวบ ที่เกิดจากสามีใหม่แล้วออกไปทำงาน ช่วงก่อเหตุเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. น.ส.สุภาพรใช้ไม้ไผ่ตีน้องรุ้งที่ศีรษะและลำตัว จนเกิดรอยเขียวช้ำทำให้มีไข้ตัวร้อน หน้าบวมและปากบวมกินข้าวไม่ได้ซ้ำยังถูกขังไม่ให้ไปไหน
ผบช.ภ.1 กล่าวเพิ่มเติมว่า จนกระทั่งเมื่อคืนวันที่ 9 มิ.ย. ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนกลับมาจากทำงานพบน้องรุ้งเสียชีวิต จึงวางแผนร่วมกันนำผ้านวมและผ้าห่มมาห่อศพเพื่ออำพรางคดี จากนั้นนายวจะรันขี่รถ จยย. ส่วน น.ส.สุภาพรนั่งซ้อนท้ายอุ้มศพมายังศาลาร้างริมน้ำ แล้วนำเชือกมัดมือมัดเท้าก่อนจะนำก้อนหินที่หาได้ในละแวกนั้น ใส่ในถุงข้าวสารเพื่อถ่วงน้ำหนักผูกติดกับขาแล้วช่วยกันอุ้มศพโยนทิ้งน้ำ หลังจากนั้นรีบกลับบ้านเก็บข้าวของย้ายหนี นำลูกสาวคนเล็กไปฝากให้ญาติของสามีเลี้ยง จนมาถูกตำรวจตามจับกุม
ต่อมาตำรวจคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ศาลาร้างริมน้ำเป็นจุดนำศพไปทิ้ง ใช้กำลังตำรวจของ สภ.บางเสาธง ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน ภ.จ.สมุทรปราการ และทหาร รส.ทร. (อ.บางเสาธง) กั้นพื้นที่โดยรอบเฝ้าระวังในจุดทำแผนหวั่นถูกประชาทัณฑ์ เนื่องจากมีญาติและชาวบ้านที่ทราบข่าวมารอดูพร้อมตะโกนด่าสาปแช่งถึงความโหดเหี้ยมของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน
ด้านนายวัลลภ กุลลานันท์ อายุ 60 ปี ปู่น้องรุ้งพักอยู่ที่ จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า นายไพโรจน์ กุลลานันท์ ลูกชาย อยู่กินกับ น.ส.สุภาพร นนทรา จนมีทายาทเป็นน้องรุ้ง ภายหลังทั้งคู่เลิกรากันไป น้องรุ้งตนยังเลี้ยงดูอยู่ส่งให้เรียนจนถึงชั้น ป.4 ช่วงนั้นนายไพโรจน์ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกจนเสียชีวิต หลังจัดงานศพลูกชายเสร็จ ตากับยายน้องรุ้งมาติดต่อขอหลานไปเลี้ยงดูที่ จ.ร้อยเอ็ด ระยะแรกยังโทรศัพท์ติดต่อกับหลานได้ แต่ภายหลังขาดการติดต่อไปนาน จนกระทั่งมารู้ข่าวว่าหลานเสียชีวิตถูกแม่และสามีใหม่ฆ่าอย่างอำมหิต รู้สึกเสียใจมาก ภรรยาถึงกับช็อกเป็นลมหลายรอบ ในวันที่ 15 มิ.ย.จะเดินทางไปรับศพน้องรุ้งไปสวดบำเพ็ญกุศลต่อไป