เป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพในอดีตที่กลับมามีผลงานการแสดงในยุคปัจจุบันอีกครั้งสำหรับ แหม่ม เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์ อดีตนางเอกดัง และนางเอกเซ็กซี่คนแรกของประเทศ ที่แฟนหนังรุ่นเก่าแก่รู้จักกันดีจากภาพยนตร์ “อีโล้นซ่าส์” เวอร์ชั่นปี 2521

ต้องบอกว่าเวลาไม่อาจทำร้ายความสวยของนักแสดงรุ่นใหญ่คนนี้ได้เลยจริงๆ เพราะถ้าย้อนกลับไปดูภาพเมื่อวันวานมาจนถึงภาพในปัจจุบันเชื่อว่าหลายคนจะต้องร้องว้าวในความสวยแน่ๆ และไม่อยากเชื่อว่าอายุอานามของเจ้าตัวในปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่หลัก 6 แล้วด้วย

ปัจจุบันนอกจากคุณแหม่ม เนาวรัตน์ จะกลับมาเล่นหนังอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องใหม่ “นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด” ค่ายสหมงคลฟิล์มแล้ว ชีวิตของนักแสดงสาวคนนี้เป็นอย่างไร ทำอะไรอยู่บ้าง เชื่อเหลือเกินว่าแฟนๆ รุ่นใหญ่ของเธอคงจะอยากรู้ “บันเทิงไทยรัฐออนไลน์” ชวนเจ้าตัวมาพูดคุยกันแบบเต็มอิ่ม

ห่างหายจากวงการหนังมานานแค่ไหนแล้ว?
“จริงๆ ไม่ได้หายไปนานนะคะ ยังมีหนัง เพียงแต่ว่าไม่ได้ออกสื่อ หนังก็ยังเล่นเรื่อยๆ แต่ส่วนมากจะเล่นรับเชิญ ละครก็จะเล่นของช่อง 7 ละครตอนเย็นก็มีแต่ไม่ค่อยมาก ไม่ได้หายไปค่ะ ส่วนเรื่องนี้ (นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด) ถามว่าเป็นการกลับมาแบบเต็มๆ ไหม จริงๆ ก็เล่นเป็นแม่พระเอกนางเอกเยอะนะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีการสัมภาษณ์ค่ะ”

...

เรื่องนายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด บทเป็นยังไง?
“เรื่องนี้รับบทเป็นแม่พระเอก เป็นแม่ที่ทิ้งลูกไปค่ะ แต่ลูกก็จะรักแม่ ด้วยความที่มีเพื่อนดีค่ะ เพื่อนช่วยเตือนช่วยบอกกัน ก็เป็นส่วนนึงของชีวิตจริงนะคะ ความที่เรามาเล่นหนังเล่นละคร บางทีทำให้เราได้มีความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น พี่ค่อนข้างโชคดีที่ได้อาโย (ทัศนวรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา) มาสอนพี่ ทำให้พี่รู้สึกว่าพัฒนาขึ้น จากวันที่อาโยสอนตอนที่เล่นละครช่อง 7 จนถึงตอนนี้ พี่โชคดีที่มีพี่ที่รักเราและให้โอกาสเรา มาสอนเราค่ะ”

นอกจากงานหนังและละครแล้ว มีธุรกิจส่วนตัวหรือทำอะไรอย่างอื่นไหม?
“พี่ยังทำงานส่วนตัวอยู่นะคะ ต้องเดินทางบ่อยเพราะพี่มีร้านอาหาร กับร้านขนมที่เพิร์ธ ออสเตรเลีย พอดีลูกจบออสเตรเลียก็ไปทำอะไรให้ฝรั่งรู้จักเมืองไทย แต่ทำแบบไม่ได้เปิดใหญ่โต ชื่อร้านเนี่ยของลูกเขาใช้ชื่อฝรั่ง เขาทำพวกวาฟเฟิล ข้าวเหนียวมะม่วง ที่โน่นก็มีพวกมะม่วงอยู่แล้ว เราก็มีข้าวเหนียวไป ทำกันสนุกสนานและมีเงินด้วยค่ะ กิจการก็ไปได้นะ จริงๆ พี่ทำธุรกิจมาตลอดชีวิตแหละ จนตอนนี้อายุเลข 6 แล้วนะ (หัวเราะ) คนรุ่นเก่าก็ค่อนข้างรู้จักเนาวรัตน์ ซื่อสัตย์ จะรู้จักจากผลงานที่ดูโป๊ๆ ไปหน่อย แต่จริงๆ ไม่ค่อยโป๊นะ ก็มีบ้าง (หัวเราะ)”

ย้อนกลับไปถึงหนังเรื่องแรก “อีโล้นซ่าส์” ที่สร้างชื่อให้กับเรา?
“จริงๆ ตอนแรกพี่เล่นหนังวัยรุ่นมันก็ไม่เกิดไง คือหมายถึงว่าไม่ดังมั้ง อย่างหนัง “อีโล้นซ่าส์” เป็นหนังเรื่องที่ 4 สมัยนั้นคุณเศรษฐา ศิระฉายา เป็นพระเอก คุณกรุง ศรีวิไล เล่นเป็นตัวโกง ตัวพี่เล่นเป็นนักศึกษา เนื้อเรื่องเข้ากับเด็กสมัยนี้เลยคือเด็กถูกหลอกไปให้ทำการค้าประเวณี ถูกนำไปขังไว้ ทำร้ายด้วยการโกนผมหลังจากที่ไม่ยอม แต่หนังพี่เนี่ยเคยลองไปถามหาดูก็ไม่มีแล้ว ใครเก็บภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ก็ช่วยออกมาสอนเด็กหน่อยค่ะ ซึ่งภาพยนตร์อีโล้นซ่าส์เวอร์ชั่นแรกเป็นภาพยนตร์สอนเด็กไม่ให้หนีโรงเรียน ไม่ให้ออกไปเที่ยวกลางคืน ไม่ให้เชื่อผู้ชาย และไม่ให้กินยานอนหลับที่ผสมน้ำ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ 40 ปีแล้วนะคะ มันก็เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน ถ้าเด็กได้ดูก็จะสื่อให้เห็นว่าสังคมที่ถูกหลอกเป็นยังไง คนจิตใจดีเป็นยังไง คุณเศรษฐาเล่นเป็นคนตัดผม ตอนหลังก็ฆ่าพวกอาชญากรแล้วพากันหนี ตัวพี่เองในเรื่องก็หนีไปบวช แยกย้ายกันไป

จริงๆ เป็นหนังสอนเด็กค่ะ แต่โปสเตอร์พี่มันแรง เขาบอกให้พี่ทำท่ายกขาแล้วโกนผม พอขึ้นปุ๊บแล้วมันเหมือนกลายเป็นหนังโป๊ไง หลังจากนั้นเนาวรัตน์ ซื่อสัตย์ ก็กลายเป็นนางเอกภาพลักษณ์โป๊ไปเลย แต่พี่ก็มาเล่นละครเรื่อง “นางสาวทองสร้อย” ของช่อง 4 บางขุนพรหม พี่เล่นละครมาตลอด หลังจากเลิกเล่นหนัง แต่จริงๆ ไม่ได้เลิกเล่นนะ เพียงแต่บทที่มาเนี่ยพี่รักในการเป็นภาพยนตร์แล้ว พี่เป็นศิลปิน พี่รักในการเล่นได้ทุกบท ไม่ต้องเป็นนางเอกพี่ก็เล่นได้ เพียงแต่ว่าผู้กำกับคนนั้นจะเห็นเราแล้วอยากให้เราไปร่วมงานไหม ก็ต้องขอบคุณที่ทำให้ได้ทำงานที่เรารัก ช่วงนี้อาก็สบายๆ ไม่ต้องดูลูก พร้อมในการทำงานค่ะ”

...

ตอนนั้นเลยกลายเป็นภาพลักษณ์สาวเซ็กซี่ไปเลย?
“จริงๆ คนรู้จักเราตัวจริงจะบอกว่าอาเป็นคนตลก ไม่มีอะไรเซ็กซี่เลย เดี๋ยวถอดกระดุมสัก 2 เม็ดดีไหม (หัวเราะ) ถามว่าพอเปลี่ยนลุคจากภาพสาวเซ็กซี่มาเป็นอีกแบบนึงแล้วคนเชื่อไหม ไม่นะคะ เราเป็นศิลปินก็เล่นหลายบทนะ ดังสุดก็ภาพลักษณ์ในอีโล้นซ่าส์ อาเล่นนางสาวทองสร้อยก็ดังนะ เดินตลาดไม่ได้ อาได้ของฟรีทุกวัน คือนางสาวทองสร้อยจะเล่นฉีกจากเรื่องโล้นซ่าส์ มันเป็นบทตลก แล้วคนดูเยอะ ไปเดินบางลำพูนี่ไม่ต้องซื้ออาหารไป 3 วันเลยค่ะ สนุกมาก (หัวเราะ) แต่สมัยก่อนเนี่ย ดาราไม่ได้ร่ำรวย อาก็ไปออกงานวงดนตรีลูกทุ่ง ถามว่าทำไมดาราอยู่ได้ เราขยันไง เราร้องเพลงเป็นก็ไปออกดนตรีลูกทุ่งกับสุริยา ชินพันธุ์, กรุง ศรีวิไล ไปกับวงดนตรีสมัยนั้นน่ะค่ะ พอมีค่าตัวเราก็แบ่งให้กับผู้จัดการเรา เราก็เดินสายไปค่ะ”

หลังจากนั้นช่วงหลังๆ เราก็หายไปเลย ที่หายไปเพราะอะไร?
“อ๋อ ก็ธรรมชาติของผู้หญิงค่ะ คือไปมีแฟนแล้วแฟนไม่ให้เล่น พอมีแฟนแล้วก็มีบุตร คือจริงๆ ไม่ใช่ไม่ให้เล่นหรอก แต่มันจะไม่มีเวลาดูแลลูก พอลูกโต อาก็มีธุรกิจหลายอย่างที่ทำ อาก็โชคดีที่เจอรุ่นหลานๆ ลูกอาดาว (ดวงดาว จารุจินดา) เขาก็บอกว่าอาแหม่มมาเล่นนี่ให้ผมหน่อย ก็ได้กลับมาเล่น หรือคนรุ่นเก่าอย่างพี่โต๊ะก็อยากให้อามาเล่นบทแม่ลุคเท่ๆ เมืองนอก เขาอาจจะเห็นเราลุคนั้นรึเปล่าก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ช่วงที่หายไปอาก็เดินทางบ่อย ไปต่างประเทศบ่อย แล้วอาแต่งงาน 2 ครั้ง แต่งครั้งแรกก็แต่งกับนักธุรกิจ (เนาวรัตน์ พัฒโนดม) แต่งครั้งที่ 2 ก็แต่งกับนักธุรกิจอีกคือคุณสุทธิเกียรติ (จิราธิวัฒน์) ก็เดินทางตลอด พอเราหย่าแล้ว เราก็มีชีวิตอิสระ เราก็ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ แต่เวลาที่เรามีแฟน เราอยากทำอะไรเขาก็ไม่ให้เราทำหรอก อาถ่ายโฆษณาค่อนข้างเยอะนะแต่ไม่ได้ออนแอร์เมืองไทย ไปออนแอร์ต่างประเทศ แต่จ่ายภาษีถูกต้องนะคะ (หัวเราะ) เราต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องเหนือความถูกใจ วินัยต้องมาก่อนนะคะ”

...

พูดถึงลูกๆ เป็นไงบ้าง?
“อามีลูกสองคน ผู้หญิงหมด เสียดุลการค้าไปหมดแล้วค่ะ แต่งต่างประเทศไปหมดแล้วค่ะ เพราะฝรั่งเขารักวัฒนธรรมเรา เขาชอบในความเป็นหญิงไทย วัฒนธรรมเราน่ารักไง ผู้หญิงเราน่ารัก ลูกหลานเราในบ้านพูดเพราะ มีการปรนนิบัติ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนไทยเราเป็นอย่างนั้นนะ ก็ยังคงอนุรักษ์อย่างนี้ไว้ค่ะ คิดว่าการที่เราเกิดเป็นคนไทย สอนให้เรารักอาหารไทย ทานอาหารไทย มีวินัยแบบไทยๆ ถึงลูกจะเปิดจะโป๊ แต่ยังมีลุคที่กลับบ้านไปหาแม่ ไหว้แม่ คือจริงๆ เด็กสมัยนี้น่ารักนะ อาชอบมากเลย นุ่งขาสั้น ซึ่งสมัยอาเนี่ยอยากนุ่งขาสั้น แต่ครูมองทีอาก็อดแล้ว อาอยากนุ่งมินิสเกิร์ตมากสมัยนั้น แล้วอาก็ได้ใส่ ทำไมอาถึงเล่นหนัง เพราะอาดูพี่เปี๊ยก (อรัญญา นามวงศ์) ในโปสเตอร์ทุกวันเพราะอยากสวยเหมือนพี่เปี๊ยก พออาได้มาเล่นหนังก็อยากเป็นอย่างนั้นไง แต่เราไม่ได้เท่าพี่เขา พี่เขาเป็นไอดอลไง เราชอบอะ สวยจังเลย

ผู้หญิงสมัยก่อนสวยนะ แต่การมีศัลยกรรมก็ดีอย่างนึงนะ ผู้หญิงที่ไม่สวยก็จะได้สวย ให้เขาสวยบ้างสิคะ (ยิ้ม) แต่จริงๆ ผู้หญิงทุกคนสวยนะ บางคนไม่เสริมจมูกเขาก็สวย ตาสวย ปากสวย พอเขาไปเสริมก็ยิ่งสวย แล้วเด็กสมัยนี้อาชอบมากเลย บางคนร้องเพลงเก่ง เล่นหนังก็ได้ เป็นนางงามแล้วเล่นหนัง ทำไมเก่งแบบนี้ ดูอย่างคุณบุ๋ม (ปนัดดา วงศ์ผู้ดี) เป็นนางสาวไทยแล้วร้องเพลงได้ด้วย เขาเก่งมากเลย แล้วทำงานด้านการเมืองด้วย เป็นผู้หญิงอะเมซิ่งค่ะ”

...

มองว่าวงการบันเทิงเมื่อก่อนกับตอนนี้ต่างกันอย่างไร?
"ต่างๆ ค่ะ สมัยก่อนเนี่ยยอมรับอย่างนึงคือความรักกัน สมมติเราไปกอง ไม่ว่าจะเป็นกองใดๆ คำแรกที่ทางกองพูดคือเรียกทานข้าวกัน ไม่มีคำว่าแบ่งแยก เดี๋ยวนี้ใครมาชวนอา อาไม่กล้าไปเล่น กลัวเขาเอาอาไปนั่งที่ไหนไม่รู้เพราะเขาไม่รู้จักเราอะ แต่ว่าอาโชคดีที่เล่นกับพวกหลานๆ ที่เขารู้จัก แล้วเราเป็นคนไม่ทำภาระให้ใครเพราะเราจะพร้อม เรานี่พร็อบพร้อม เก้าอี้พร้อม ตัวพร้อม ทุกอย่างเราพร้อมหมดค่ะ ฉะนั้นเราไม่เป็นภาระใคร เราเข้าไปก็อยู่กับพวกเราสบาย แล้วเราไม่ต้องการให้ใครดูแลเราเพราะอาเป็นคนเยอะ เรื่องเยอะมาก (หัวเราะ) เยอะนี่คือไม่เยอะกับคนอื่นนะ เยอะกับตัวเอง ข้าวยังทำไปเอง คนอื่นเขาง่ายๆ แต่อาเป็นคนไม่ง่ายไง ไปถึงก็คิดถึงคนนั้นคนนี้ นี่คือความต่างจากสมัยนี้และสมัยก่อน ไปกองนี่อาต้องซื้อเพียบเลยนะ เราจะนึกถึงและเรารักกันค่ะ ความรักมันทำให้เราอยู่ในกองได้ค่ะ

นี่เพิ่งได้ไปถ่ายละคร "คุณย่าดอทคอม" ช่องทรูโฟร์ยู มีทั้งคุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, คุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์, คุณแหม่ม เทพยุดา, คุณนวลปราง ตรีชิต, คุณรสริน จันทรา เยอะเลยค่ะ เป็นการรวมรุ่นคุณย่า 6 คน มีความสุขมากๆ และเป็น 2 เจเนอเรชั่นอยู่ร่วมกัน คือรุ่นเด็กกับรุ่นผู้ใหญ่มาทำงานร่วมกัน เป็นอะไรที่อะเมซิ่งสุดยอด แต่ขอให้เรารักกันนะ อยู่ด้วยกัน อย่าแบ่งแยกกัน เราต้องพัฒนาประเทศ พ่อแม่ต้องให้ความอบอุ่นแก่เด็ก ถ้าเราไปเชิดใส่เด็ก เด็กจะกล้าคุยด้วยรึ เราต้องดีกับเด็ก เด็กเขาก็รักเรา ให้ใจเราค่ะ"

ทุกวันนี้ได้กลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้ง มีอะไรที่อยากทำเพิ่มเติมอีกไหม?
"เยอะ ชีวิตยังไม่สิ้น อาเป็นนักกีฬานะ ตอนนี้อยากไปหัดปีนเขา อาเล่นทุกอย่าง เล่นกอล์ฟ แบดมินตัน เทนนิส เพื่อนก็บอกว่าท่าผิด แต่เราก็พยายามทำในสิ่งที่ถูก ก็เรียกครูมานั่งเฝ้าด้วย ผิดก็บอกเลยค่ะ แล้วอาก็เรียกเด็กๆ บอกว่ามาล้มให้ได้ ก็ล้มไม่ได้ พอ 2 ชม.เขาก็บอกว่าไปละค่ะ (หัวเราะ)"

มีวิธีดูแลตัวเองยังไงบ้างเพราะดูไม่ค่อยแก่เลย?
"อาเป็นคนช่างกินนะ ของอร่อยในประเทศไทยถามอาเลย ไม่อร่อยไม่มีทางเข้าปากอาเด็ดขาด ส่วนเรื่องกีฬา อาเป็นคนมีวินัย ต้องออกกำลังทุกวัน แต่การออกกำลังกายของอา เพื่อนจะบอกว่าแกบ้ารึเปล่า ออกกำลังได้ทุกวัน เรามีรองเท้าผ้าใบหลังรถคู่เดียว ขับรถแล้วเจอสวนก็จอด อาใส่รองเท้าผ้าใบแล้วเดิน 40 นาที มันก็กลายเป็นวินัย แล้วอาก็จอดรถเดินไปสยามไปกินน้ำปั่น แล้วเดินกลับมาที่จอดรถ อาเป็นคนไม่กลัวร้อน ไม่กลัวแดด ไม่กลัวฝน อาใส่เสื้อคลุมฝนแล้วอาก็เดินค่ะ เรียกว่าไม่มีข้อแม้ดีกว่า ไอ้ที่เยอะคือเยอะกับตัวเอง ไม่อยากกินเยอะ ไม่อยากทานมัน แต่เราก็ชอบ เราก็ไปเรียกเพื่อนเรามาช่วยแชร์ไปค่ะ ถามว่าเคยมีคิดอยากทำอะไรเพิ่มเติมความสวยไหม อาอยากทำหลายอย่าง อยากทำตาให้มันขึ้น อยากทำหน้าผากให้มันไม่ย่น แต่เดี๋ยวนี้พอดูในยูทูบ กูเกิลบ้าง แล้วเห็นภาพแต่ละอันมันกลัวน่ะ”

เป็นคนเฮฮาขนาดนี้ มีเรื่องเครียดบ้างไหม?
“เออ คนชอบถามนะ มีช่วงนึงที่หายไปนานคืออาไปเรียน ตอนนั้นเรียนไม่จบเพราะมาเล่นละครเล่นหนัง เป็นนางแบบ แต่ก่อนพ่อจะเสียชีวิตก็สั่งไว้ว่าเรียนให้จบ ก็เลยไปเรียนที่รามคำแหง โชคดีที่สามีเก่าสนับสนุนเลยได้เรียนจนจบปริญญาตรี ไม่พอไปเรียนปริญญาโทอีก ศีรษะนี่ขาวหมดเลยตอนนั้น แต่จบมาก็ภูมิใจค่ะ เรียนจบรัฐศาสตร์ก็ได้ไปช่วยเพื่อนเป็นกรรมาธิการบ้าง ไปช่วยด้วยความที่อยากช่วย อยากทำอะไรเบื้องหลัง เราก็ได้ความรู้ไป มีเพื่อนดีเยอะค่ะ จริงๆ เพื่อนก็ถามนะว่าอยากเรียนอีกไหม แต่ตอนนี้มันสนุกกับละครและหนัง ถ้าเราไปเรียนเดี๋ยวเราไปขาดแล้วทำให้เราเสียอย่างหนึ่งอย่างใดไป ก็บอกไปว่าเราเรียนเยอะแล้วล่ะ เท่านี้พอ จะได้เอาเวลาไปรับหนังกับละครสนุกๆ ค่ะ”

สุดท้ายฝากถึงแฟนหนังเก่าๆ ของเรา รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่ได้เห็นผลงานของเรา?
“ก็ขอขอบคุณแฟนๆ ที่ยังคิดถึง บางคนก็ไลน์มาหาบ้าง ฝากเพื่อนมาบ้าง ขอบคุณนะคะที่ให้กำลังใจ กำลังใจทำให้เราอยากดูแลร่างกายและอยากอยู่บนแผ่นฟิล์ม มาอยู่ในทีวี อยู่ไหนก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ที่ทำงานแล้วมีความสุข มอบความสุข เป็นสิ่งนึงที่เราอยากทำ ตั้งใจทำ อยากจะให้วงการภาพยนตร์อยู่ไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้ดาราไปต่างประเทศเยอะแยะ ชอบมากเลยค่ะ อาเห็นแล้วก็เชียร์ ยิ่งคนไปเดินพรมแดงได้นี่ชื่นใจมาก อยากให้วงการบันเทิงไทยเป็นแบบนี้ รักกันๆ นะคะ สร้างกันไปเรื่อย เดี๋ยวนี้เด็กๆ เก่ง ต้องมาสอนคนแก่ด้วยนะคะ (ยิ้ม) ขอบคุณค่ะ”.