ปธ.สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ แจงข้อสงสัย 3 เหตุผลที่ต้องคัดค้าน ร่างกฎหมายควบคุมสื่อ ชี้ สื่อจะถูกแทรกแซงครอบงำโดยฝ่ายการเมืองง่าย การลงโทษขัดกับประเทศที่ปกครองแบบประชาธิปไตย กระทบต่อเสรีภาพของสื่อ และการรับรู้ของ ปชช. ...

จากกระแสความไม่เห็นด้วยของกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพด้านสื่อมวลชนต่อ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ.... ที่กำลังมีการผลักดันโดย สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เนื่องจากเล็งเห็นว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพื่อต้องการครอบงำประชาชน ด้วยการควบคุมสื่อ ปิดปากสื่อที่เป็นตัวแทนกระบอกเสียง และเป็นผู้ตรวจสอบการทำงาน และการใช้อำนาจของรัฐ จนเกิดเป็นกระแสการเปลี่ยนภาพประจำตัวบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และไลน์ ด้วยข้องความที่ว่า "หยุดตีทะเบียนสื่อ หยุดครอบงำประชาชน" 

ทำให้ผู้คนในสังคมออนไลน์ และประชาชนอาจจะสงสัยว่าเหตุใดสื่อมวลชนจึงต้องคัดค้านการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ และกฎหมายดังกล่าวมีรูปแบบการควบคุมสื่ออย่างไร และประชาชนได้รับผลกระทบอย่างไร หากร่าง ก.ม.ฉบับนี้ผ่านสภาด้วยความเห็นชอบของ สปท. โดยผู้ที่จะมาไขข้อข้องใจ คือ นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ที่จะมาตอบคำถามเกี่ยวกับการรณรงค์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... ที่กำลังมีการผลักดันผ่านสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ดังต่อไปนี้

1) กฎหมายนี้ มีเนื้อหาควบคุมสื่ออย่างไร ทำไมต้องออกมาคัดค้าน?
ตอบ: กฎหมายนี้ ให้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยให้มีตัวแทนจากภาครัฐ หรือหน่วยราชการเข้าไปเป็นกรรมการด้วย ขณะที่ตัวแทนที่มาจากภาคสื่อมวลชนเองก็สุ่มเสี่ยงต่อการครอบงำโดยผู้มีอำนาจทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย พูดง่ายๆ คือ สภานี้ สามารถถูกการเมืองแทรกแซงได้โดยง่าย

...

นอกจากว่า สภานี้จะถูกแทรกแซงได้โดยง่ายแล้ว ยังจะมีอำนาจในการลงโทษ (ปรับ 5 หมื่น-1.5 แสนบาท) สื่อมวลชนที่ (ถูกกล่าวหาว่า) ละเมิดจริยธรรมวิชาชีพ ซึ่งประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก เขาใช้วิธีให้สื่อกำกับดูแลกันเองในด้านจริยธรรมและการลงโทษ จะใช้วิธีการลงโทษทางสังคมแทนที่จะใช้การลงโทษทางกฎหมาย

ยิ่งกว่านั้น สภานี้ ยังมีอำนาจในการออกและเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนกับคนทำสื่อทั้งหลาย ซึ่งในทางสากลแล้ว การออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะใช้กับวิชาชีพที่ต้องผ่านการศึกษาอบรมมาโดยเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร ทนายความ เป็นต้น ในขณะที่วิชาชีพสื่อมวลชน เป็นวิชาชีพที่เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถเข้ามาประกอบวิชาชีพนี้ได้ เนื่องจากต้องการคนที่มีความคิดและทักษะความรู้ที่หลากหลาย แต่ก็ต้องทำงานภายใต้กรอบจริยธรรมวิชาชีพ ที่สภาวิชาชีพที่เป็นอิสระ (ไม่ได้ตั้งขึ้นตามกฎหมาย) เป็นผู้กำหนด การกำหนดให้คนทำสื่อต้องขอใบอนุญาต จึงเป็นแนวคิดที่ผิดหลักการเสรีภาพสื่อโดยสิ้นเชิง

2) ที่ผ่านมา สื่อมวลชน ควบคุมกันเองไม่ได้จริงหรือ?
ตอบ: การควบคุมกันเองของสื่อมวลชน คือ การควบคุมกันเองทางจริยธรรม เนื่องจากมีกฎหมายที่ควบคุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนมากมายอยู่แล้ว เช่น กฎหมายหมิ่นประมาท กฎหมายคุ้มครองเด็ก กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็นต้น ดังนั้นการควบคุมกันเองทางจริยธรรมที่เน้นการลงโทษทางสังคม จึงต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ องค์กรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน และประชาชนผู้บริโภคสื่อ หากทั้ง 3 ส่วนมีความตื่นตัว (เช่น ในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย) การกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนก็จะมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศไทยนั้น องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ กำลังมีการปรับตัวไปสู่แนวทางที่พัฒนามากขึ้น การแก้ปัญหาด้วยความเชื่อว่า สื่อมวลชนควบคุมกันเองไม่ได้แล้วใช้วิธีออกกฎหมายลักษณะนี้ออกมา จึงเป็นวิธีการที่ล้าหลัง ไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกเป็นอย่างยิ่ง

3) แล้ววิชาชีพสื่อมวลชนจะมีหลักประกันอะไร ที่จะกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม?
ตอบ: ปัจจุบันองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลด้านจริยธรรมของสมาชิก ได้ทำงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับนักวิชาการสื่อสารมวลชน (ผู้ตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อ) และองค์กรที่ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในการเพิ่มกลไกการกำกับดูแลกันเองให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีมาแล้ว แต่อาจไม่ทันใจกับบางท่านที่อยากจะเห็นการกำกับดูแลโดยกฎหมาย แต่ลืมคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน...