ยิ่งกว่างามงด วิวสวยเกินบรรยาย เรียบหรูแต่ดูดี เหมือนอยู่สวรรค์ นี่คือสิ่งที่ ไฮโซทาวน์ ไทยรัฐออนไลน์ ได้เห็นจากการไปเยือน เพนท์เฮาส์ ใจกลางกรุง ของนักพูด นักเขียน นักให้แรงบันดาลใจกับใครหลายคนอย่าง 'ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง'...
“บ้านเป็นทุกอย่างของชีวิตเลยค่ะ เป็นกองบัญชาการ เราหลายคนอาจจะลงทุนกับสิ่งอื่นที่คนลงทุนแล้วได้ผลตอบแทน แต่ครูอ้อยคิดว่าบ้านเป็นสิ่งลงทุนที่น่าสนใจที่สุด บ้านเป็นฐานทัพที่ดี ครูอ้อยอยากบอกว่าถ้าเกิดตอนนี้บ้านของใครหลายๆ คนยังเล็กก็ให้จัดให้สวยงามพอที่จะรับแขกได้ เราจะรู้สึกภูมิใจในบ้านของเราไม่อยากไปไหน” ครูอ้อยบอกแบบนั้นเมื่อเราถามว่าบ้านคืออะไรสำหรับเธอ
...
อยู่เพนท์เฮาส์มานานแค่ไหน
ครูอ้อยอยู่คอนโดฯ นี้มาสี่ปีแล้ว แต่ตอนแรกซื้อแบบ 3 ห้องนอน เลื่อนมาเป็น 4 ห้องนอน และย้ายมาห้อง เพนท์เฮาส์หนึ่งเดือนพอดี ตอนนี้ก็ยังมีครบอยู่ทุกห้องค่ะเก็บไว้
ครูอ้อยเล่าย้อนกลับไป ตอนแรกสุดครูอ้อยซื้อ 3 ห้องนอน 200 กว่าเกือบๆ 300 ตร.ม. ตอนแรกแค่คิดว่าจะซื้อลงทุน เพราะเรามีบ้านกับคอนโดฯ อยู่หลายที่ เราชอบซื้อเก็บเอาไว้ แต่พอได้มาอยู่แล้วรู้สึกชอบก็เลยซื้ออย่างจริงจังอีกหนึ่งห้องแบบ 4 ห้องนอน ประมาณ 340 ตร.ม.
พออยู่ 4 ห้องนอนเราก็รู้สึกชอบที่นี่มากๆ เลย แต่เรายังคิดว่าไม่มีพื้นที่ให้คนมาเดินจงกรมเยอะ มานั่งสมาธิได้ไม่เยอะ ก็เลยต้องย้ายมาเพนท์เฮาส์แห่งนี้เกือบๆ 500 ตร.ม. ที่นี่สามารถจุคนได้กว่า 100 คน มาเดินจงกรม นั่งสมาธิได้แบบสบายๆ
ถามว่าราคาเพนท์เฮาส์สุดหรูใจกลางกรุง มูลค่าเท่าไร ครูอ้อยบอกว่าไม่อยากให้โฟกัสที่ราคา แต่แอบแง้มๆ ว่าราคาไม่เบา เลขศูนย์ตามหลังมากมาย
ทำไมถึงเลือกลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์
ครูอ้อยเป็นคนไม่ชอบช็อปปิ้งหรือใช้จ่ายอย่างอื่น แต่จะเอาเงินมาลงทุนกับพวกอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ครูอ้อยซื้อเยอะเลยทั้งคอนโดฯ บ้าน ที่ดิน เพราะเราเป็นคนชอบลงทุน ครูอ้อยเป็นคนชอบลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ เห็นบ้าน ที่ดิน คอนโดฯ ครูอ้อยจะอยากซื้อเก็บเอาไว้ ซึ่งครูไม่ได้คิดว่ามันคือการใช้จ่ายแต่คิดว่ามันคือการลงทุน มีการซื้อแล้วก็ขาย
...
การตกแต่งเพนท์เฮาส์แห่งนี้
จริงๆ ครูอ้อยชอบทำบ้านแบบน้อยๆ มินิมอล แต่เพนท์เฮาส์แห่งนี้จะทำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วย ก็เลยตั้งใจจะแต่งให้เหมือนคนที่มาปฏิบัติธรรมแล้วชีวิตดี เลยอยากแต่งให้เหมือนสวรรค์นิดๆ
ครูอ้อยจ้างผู้ออกแบบตกแต่งภายใน คุณขวัญ เกตุศิริ ซึ่งเป็นผู้ที่ออกแบบตกแต่งบ้านครูอ้อยมาหลายหลังมากรวมถึงให้คนดังๆ หลายคนด้วยค่ะ
...
บ้านหลังนี้ถูกออกแบบดูประณีตสวยงาม ซึ่งครูอ้อยชอบมาก เราชอบไปยุโรปก็เลยชอบบ้านเมืองของเขา เลยเอามาบอกคนออกแบบว่าอยากได้แบบสไตล์ยุโรป นั่งสบาย ลุกนั่งได้
...
ของตกแต่งที่ครูอ้อยชื่นชอบ
อย่างพวกของตกแต่งของที่ครูชอบ ราคาไม่แพงเลยค่ะ หลักร้อยสองร้อยก็มีถ้าเข้ากับสถานที่ของเราก็เลือกซื้อมาเลยค่ะ หลักๆ คือเราอยากตกแต่งให้คิดว่าทำยังไงถึงจะให้คนรู้สึกว่าเพนท์เฮาส์แห่งนี้เหมือนกำลังเดินอยู่ในวิหารที่สวยงามได้ทุกวัน มีกำลังใจที่อยากจะมานั่งสมาธิ ซึ่งมีเพื่อนๆ หรือลูกศิษย์ครูอ้อยอยู่คอนโดฯ แถวนี้กันหลายคน คอนโดฯ นี้ก็มี กาละแมร์ อาตุ๊ยตุ่ย ซึ่งทุกคนจะมารวมตัวนั่งสมาธิกันที่นี่
เพนท์เฮาส์หลังนี้มีกี่ห้อง
เพนท์เฮาส์หลังนี้มีห้องโถงใหญ่ที่สุดไว้นั่งสมาธิ มีโซนรับแขกนั่งเล่นนิดหน่อย ทั้งยังโต๊ะกินข้าวประมาณ 30 คน และมีห้องนอนสองห้อง
มุมโปรด
มุมโปรดของครูอ้อย คือมุมที่เอาไว้นั่งเล่นมองออกไปข้างนอกคือเห็นกรุงเทพฯ รอบด้าน และเห็นแม่น้ำอีกด้วย ซึ่งเป็นมุมที่เราจะนั่งเพลินๆ มานั่งเล่นขิมบ้าง นอนเล่นอ่านหนังสือตรงนี้บ้าง
บ้านหลังนี้อยู่กับใครบ้าง
ครูอ้อยเล่าว่า บ้านหลังนี้ปกติ คุณพ่อคุณแม่ก็จะแวะไปเวียนมาค่ะ จริงๆ ครอบครัวเราชอบซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้ตอนนี้เลยสลับไปหลังนู้นหลังนี้แล้วแต่ความสะดวก น้องสาวก็จะแวะมาที่นี่บ้าง ส่วนลูกครูอ้อย น้องทะเล บวชเป็นพระอยู่ที่อังกฤษค่ะเพิ่งจะสึกเพื่อจะเรียนต่อที่นู้นค่ะ เลยยังไม่ได้มาอยู่ที่นี่ (ยิ้ม)
บ้านเกิดครูอ้อย
ครูอ้อยบอกว่า จริงๆ บ้านเกิดครูอ้อยอยู่ที่หาดใหญ่ค่ะ คุณพ่อจึงไปกลับหาดใหญ่กรุงเทพฯ ตลอด ส่วนคุณแม่จะชอบบ้านที่ริมแม่น้ำบางปะกงก็จะอยู่ที่นั่นเป็นส่วนใหญ่
ถึงครอบครัวจะอยู่หลายๆ ที่ ลูกจะอยู่ต่างประเทศ แต่ครูอ้อยก็บอกกับเราว่า จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเลยสักนาทีเดียว เพราะครูอ้อยมีลูกบุญธรรม และมีเพื่อนๆ ลูกศิษย์มาเจอะเจอกันตลอดเวลา
ชีวิตครูอ้อยจะวนลูปอยู่ไม่กี่อย่าง ตื่นเช้ามาภาวนา ออกกำลังกาย คุยเล่น สั่งงานไม่เกิน 2 ชม. ส่วนใหญ่ที่คุยหรือทำอะไรก็จะอยู่ในบ้านหมดเลย เพราะครูอ้อยชอบอยู่บ้าน นอกจากจะมีออกไปวัดบ้าง
ชีวิตวัยเด็ก
ครูอ้อยอยู่หาดใหญ่ตั้งแต่ 1 ขวบ ถึง 12 ขวบ แล้วก็ไปอยู่อังกฤษจนอายุ 20 จบปริญญาโท 2 ใบ ครูอ้อยได้อิทธิพลจากอังกฤษสูงมาก ตอนที่เราพัฒนาตัวเอง เรียนหนังสือ เป็นวัยรุ่นใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษเยอะ เพราะฉะนั้นหนังสือที่เราเขียนก็จะมีความเป็นอังกฤษนิดนึง
ตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่จะให้อิสระในทางความคิดสูงมาก ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่จะสอนว่าอย่าให้ใครมาจำกัดกรอบความคิดของเรา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อยากให้เราคิดนอกกรอบแบบที่ไม่ไปทำผิดหรือทำร้ายคนอื่น
ครูอ้อยยังเล่าอีกว่า ที่บ้านเป็นคนตลก แม่ครูอ้อยจะตลกมาก ครูอ้อยโชคดีมากที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ครูพูดเสมอว่า ชีวิตต่างจังหวัดหรือเด็กที่ได้อยู่กับธรรมชาติมันจะบ่มเพาะให้คาแรกเตอร์ของตัวเรามีความคมชัด พอคาแรกเตอร์ชัดมันจะออกมาในงานของเรา
เคล็ดลับดูแลตัวเอง
ปกติครูอ้อยเป็นคนนั่งสมาธิกับไม่กินเนื้อสัตว์ สุขภาพเลยดีมาก แต่ตอนนี้ วู้ดดี้กับกาละแมร์มาเป็นลูกศิษย์ครูอ้อย ก็ชวนเรามาออกกำลังกาย อาทิตย์ละอย่างน้อย 5 วัน วู้ดดี้ท้าออกไลฟ์ครูอ้อยเลยบอกว่าถ้าไม่ทำให้เรียกครูอ้อยว่าหมาเลย (หัวเราะ) ตอนนี้ครูก็เลยวิ่งตลอดเลยค่ะ พอเรารับปากวู้ดดี้ว่าจะวิ่ง ครูก็ตื่นมาวิ่งตีห้าครึ่ง ก่อนวิ่งเราก็นั่งภาวนาก่อน ครูอ้อยคิดว่าถ้าเราจะทำอะไรเราต้องทำเลย
ครูอยากบอกเคล็ดลับ ถ้าเรามีเหตุผลที่เข้มแข็งพอเราก็จะพบหนทาง บางคนอาจจะบอกว่าไม่รู้จะทำได้ยังไง ไม่มีเวลานู้นนี่ แต่จริงๆ แล้วเพราะคุณยังไม่เห็นความสำคัญมากพอ จริงๆ มันเป็นการฝึกวินัยให้กับตัวเองด้วย ลองลุกขึ้นมาวิ่ง มานั่งสมาธิบ้าง
ของสะสมครูอ้อย
ครูอ้อย เล่าด้วยความสนุกว่า สิ่งที่เห็นไม่ได้เลยก็คือหนังสือ สมุดบันทึก แก้วกาแฟค่ะ ครูอ้อยชอบหนังสือสวยๆ แก้วกาแฟน่ารักๆ สมุดบันทึกแปลกๆ เห็นไม่ได้ก็จะซื้อเก็บไว้ตลอด
สุดท้ายบ้านคืออะไรสำหรับครูอ้อย
สุดท้าย ครูอ้อยบอกกับเราว่า บ้านเป็นทุกอย่างของชีวิตเลยค่ะ เป็นกองบัญชาการ เราหลายคนอาจจะลงทุนกับสิ่งอื่นที่คนลงทุนแล้วได้ผลตอบแทน แต่ครูอ้อยคิดว่าบ้านเป็นสิ่งลงทุนที่น่าสนใจที่สุด บ้านเป็นฐานทัพที่ดี ครูอ้อยอยากบอกว่า ถ้าเกิดตอนนี้บ้านของใครหลายๆ คนยังเล็ก ก็ให้จัดให้สวยงามพอที่จะรับแขกได้ เราจะรู้สึกภูมิใจในบ้านของเราไม่อยากไปไหน