“ผู้บริหารหนุ่มใหญ่อารมณ์ดีที่รู้จักพนักงานทุกคนภายในร้านและทักทายอย่างเป็นกันเอง” นี่คือสิ่งที่เราประทับใจจากการได้เจอเขาครั้งแรกในวันที่เราไปเยือนถึงอาณาจักรร้านเพชรและพลอยที่มีคุณภาพชั้นเลิศอย่าง “เจมส์ พาวิลเลี่ยน”...

วันนี้ ไฮโซโปรไฟล์ ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้คุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับนักธุรกิจไฮโซผู้อยู่ในวงการจิวเวลรี่ไทยมากว่า 20 ปี “ท็อป - ปิยะ อัจฉริยศรีพงศ์” เราจะพาไปเปิดโปรไฟล์ของหนุ่มคนนี้พร้อมทั้งล้วงลึกเรื่องธุรกิจ ไลฟ์สไตล์มาฝากกัน

...

ไฮโซโปรไฟล์

ชื่อ : ปิยะ อัจฉริยศรีพงศ์
ชื่อเล่น : ท็อป
วันเกิด : 23 ต.ค. 2513
อายุ : 47 ปี
ส่วนสูง : 175 ซม.
น้ำหนัก : 67 กก.
บ้านเกิด : ราชบุรี
อาหารที่ชอบ : อาหารเหนือ
ที่เที่ยวสุดโปรด : อียิปต์
สิ่งที่เกลียด/กลัว : ไม่มี
กีฬา : วิ่ง ยิม
ของสะสม : เพชรและอัญมณีหายาก
คติประจำใจ : ไม่ดีไม่ได้ ไม่สวยไม่ทำ
อินสตาแกรม : top_piya

Q : ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้ผมเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เจมส์ พาวิลเลี่ยน จำกัด จุดเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณกว่า 20 ปีแล้ว ผมขอบอกก่อนว่าครอบครัวผมมีพี่น้องสี่คน เราคือเจเนอเรชั่นที่หนึ่ง ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดอย่างข่าวน้องชายผม (อ่านเพิ่ม : อั้ม เคลียร์สถานะไฮโซฟลุค) ว่าเป็นทายาท เจมส์ พาวิลเลี่ยน แต่จริงๆ เราคือจุดเริ่มต้น เราเริ่มธุรกิจนี้เมื่อปี 2539 ผมเริ่มต้นโดยผมและพี่สาว เราได้การส่งเสริมจากคุณพ่อคุณแม่ แต่ว่าพวกเราก็ทำกันมาเองโดยตลอด เราคือรุ่นแรกครับ

เล่าย้อนไปนะครับ ผมเป็นลูกคนที่สอง ผมเริ่มทำเจมส์ พาวิลเลี่ยนกับพี่สาวมา ตอนแรกทางผมกับพี่สาวเคยคุยกันแล้วรู้สึกว่า จิวเวลรี่ในเมืองไทยมันมีอะไรที่ต้องเติมเต็มอีก ซึ่งจริงๆ แล้วมันมี 3 องค์ประกอบที่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีก เราสามารถดีไซน์ออกมาได้ดีกว่า ส่วนเรื่องแมทเทอเรียลที่เราคิดว่าน่าจะไปได้ดีกว่าท้องตลาด แล้วก็เรื่องการผลิตด้วยครับ สามตัวนี้เป็นตัวหลักที่เจมส์ พาวิลเลี่ยนพยายามตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกว่าเราจะทำแบบนั้น จนกระทั่งเราใช้ตรงนี้สื่อผ่านไปกับพนักงานทุกคน จนเป็นดีเอ็นเอของพวกเรา จนได้คำว่า “ไม่ดีไม่ได้ ไม่สวยไม่ทำ”

...

Q : พี่น้อง 4 คน แบ่งกันดูแลธุรกิจยังไง

ผมเรียนมาทางด้านการตลาด ปัจจุบันผมก็ยังทำการตลาดการขายของเจมส์ พาวิลเลี่ยน ในบรรดาพี่น้องสี่คน เราทำในด้านที่ต่างกัน คนแรก คุณหนึ่ง พี่สาวผม เขาดูทางด้านดีไซน์ เพราะเขาจบทางด้านสถาปัตย์มา เป็นเรื่องของการพัฒนาตัวสินค้า คุณใหม่ น้องสาวคนที่สาม ดูเกี่ยวกับเรื่องตลาดต่างประเทศ เขาเรียนในส่วนของบัญชีสถิติมา ส่วนคุณฟลุค เขาดูทางด้านโปรดักชั่น เขาเรียนทางด้านวิศวะมา เราสี่คนเคยคุยกันว่าพวกเราสี่คนเหมือนโต๊ะ ต้องมีสี่ขานะ เราต้องอยู่ด้วยกันนะ และความแตกต่างตรงนี้ก็ทำให้เราสามารถอุดรอยรั่วได้หลายๆ อย่าง ก็ถือว่าเป็นข้อดีไป

Q : อยู่ในวงการจิวเวลรี่ 20 ปีแล้ว สามารถดูได้ไหมว่าอันไหนของแท้-ปลอม

ดูได้อยู่แล้วครับ เราอยู่กับมันมา (หัวเราะ) อย่างเบสิกเลยคือมีอยู่ 4 C ด้วยกัน น้ำหนัก, สี, ความสะอาด, การเจียระไน ผมต้องบอกก่อนว่าดูได้ แต่ถ้าดูจริงจังในส่วนของชิ้นงาน อาจต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือเป็นตัวช่วยด้วย ผมคิดว่าเราส่งแลปดีกว่า  แต่ถามว่าดูได้มั้ย ดูได้อยู่แล้วเป็นธรรมดาของคนที่ทำธุรกิจจิวเวลรี่ เครื่องเพชร

...

Q : แบรนด์เราแตกต่างจากแบรนด์อื่นยังไง

ผมว่าหลายอย่างทีเดียว อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ คาแรกเตอร์ที่เรายึดตลอด แมททีเรียล ดีไซน์ การผลิต ตัวสินค้าผมเชื่อว่าพวกเราแตกต่าง ถามใครก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าของเราสวยที่สุด ส่วนเรื่องการผลิต พวกเรามีช่างของเราเอง

แตกต่างอีกอย่างคือ ผมมีทีมงานที่ทุกๆ คนทำของด้วยใจจริงๆ ทั้งชิ้นงานจนไปถึงการบริการ พนักงานเรามีรวมกันทั้งหมดเกือบ 200 คน โดยแต่ละคนผมคิดว่าเขารู้หน้าที่ของเขา ผมขอยกตัวอย่างคนหนึ่ง เขาเป็นช่างฝังเก่าแก่ที่อยู่กับเรามา 15 ปี เขาได้ลงนิตยสารประจำเดือนของเรา เขาพูดถึงงานของเขา ผมชอบมากสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์ “ต้องดูเหลี่ยมเพชรว่าฝังอย่างไรให้อัญมณีได้เปล่งประกายความสวย เน้นตัวของมันให้ออกมาให้มากที่สุด ต้องสวยที่สุด ถึงจะบอกว่างานของผมเสร็จ”

โดยในรายละเอียดของเขาเยอะมาก ซึ่งพนักงานของเราผมรู้สึกเลยว่าเขาภูมิใจที่ได้ทำให้ชิ้นงานแต่ละชิ้นออกมาได้อย่างดีเยี่ยม และผมจะชื่นชมคนที่อยู่เบื้องหลังของผมทุกคน แม้ว่าคนที่เป็นแค่แม่บ้าน ทำอาหารให้กับพนักงาน ผมชื่นชมเขาหมด

...

Q : 20 ปีที่ผ่านมาของเจมส์ พาวิลเลี่ยน อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุด

การบริหารคนครับยากสุด และก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย แวลูของเจมส์ พาวิลเลี่ยนน่าจะอยู่ที่ตัวบุคลากร เพราะเรื่องจิวเวลรี่ เพชร เรื่องตัวสินค้าพวกนี้ถ้าพวกเขาดี พวกเขาทำได้ ผมถึงให้น้ำหนักไปอยู่ที่ตัวพนักงานซะเยอะ ถามว่าถ้าเกิดปัญหากับตัวพนักงานแต่ละคนเราทำยังไง? ส่วนมากก็เรียกมาคุยครับ ผมพยายามที่จะคุยแบบเปิดใจ ปกติทุกคนคุยแล้วก็เข้าใจดีนะครับ ทำให้ผลงานต่างๆ ที่ออกไปสู่สาธารณชนก็งดงามเป็นที่พูดถึง

Q : บริหารงานสไตล์ท็อป ปิยะ

เน้นเรื่องความรักและความสุข ให้พนักงานทุกคนทำงานด้วยความรักและความสุขไปพร้อมๆ กัน มีการทำงานอย่างมีความสุข เพราะถ้าเราทำงานแล้วไม่มีความสุข งานก็จะออกมาได้ไม่ดี บาทีก็คุยเล่นแต่อีกแง่ก็เป็นเจ้านาย ผมสามารถสั่งงานพนักงานได้ คือผมเคยบอกคนอื่นว่า งานพวกนี้เป็นงานที่ใช้ความสวยงาม ถ้าคนที่ไม่มีความสุขหน้าเคร่งเครียด ทำงานแบบนี้ไม่มีทางสวย มันเหมือนงานศิลปะอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นงานศิลปะที่ต้องทำเป็นอุตสาหกรรมด้วย ถ้าคุณเป็นศิลปินต้องวาดให้สวย ต้องวาดให้เยอะ ต้องวาดให้เหมือน แต่พอเป็นงานของเราทำเยอะไปก็ไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นของโหล มันมีความยากของมัน

Q : คุณโตมากับครอบครัวแบบไหน

คุณแม่ผมเป็นคนเอาใจใส่มาก ผมเพิ่งไปเปิดดูรูปเก่ามา ผมเห็นว่าตัวเองจะต้องใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวตลอด รองเท้าบูทตลอด ผมก็สงสัยว่าทำไม จริงๆ เพราะคุณแม่กลัวลูกล้ม ล้มแล้วเป็นแผล (หัวเราะ) อีกอย่างคือแม่ผมทำงานเก่งมาก ขยันๆ ทำงาน 7 วัน ทุกวันนี้เหมือนกับเรารูกสึกชินกับการทำงาน เพราะว่าเราเห็นแม่เราทำแบบนี้มาตลอด เราก็เลยมีเลือดนักสู้เหมือนคุณแม่ เหมือนมีแม่เป็นไอดอลอีกคนเลยครับ

ผมเติบโตมากับพี่น้อง 4 คน โตมาด้วยกัน เรามีความเหมือนในความแตกต่างกัน มีทะเลาะกันบ้างมันเป็นเรื่องธรรมดาของพี่น้อง ส่วนมากเราจะทะเลาะกันเรื่องงาน เพราะพื้นฐานการศึาษาแตกต่างกัน งานในมุมก็ต่างกัน ความคิดก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องใช้วิธีเปิดใจ เรื่องส่วนตัวไม่ค่อยมีทะเลาะเลยครับ อย่างเราไปเที่ยวด้วยกันไปไหนไปเลย

Q : ธุรกิจรัดตัวขนาดนี้ มีเวลาว่างดูแลตัวเองมั้ย

มีสิครับคนนะครับ (หัวเราะ) จริงๆ มีเวลาว่างคือผมทำสามอย่างหลักๆ เลย หนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ไปต่างจังหวัด สองออกกำลังกายในยิม สามก็ปฏิบัติธรรมครับ นี่คือสามอย่างที่ผมต้องทำ เพราะทั้งสามอย่างช่วยได้มากครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพกายใจหรือการทำงานของผม

Q : โปรเจกต์สุดอลังการ

น่าจะเป็นที่ออกงานแฟร์ที่บาห์เรน เรานำมงกุฎเพชร 200 กว่ากะรัตเอาไปโชว์ เสร็จแล้วทุกคนก็พูดถึง ฮือฮาสุดๆ ว่าตัวนี้เป็น สตาร์ออฟเดอะโชว์ ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้มาร่วมงาน ก็ได้พูดชมถึงตรงนี้และได้ออกทีวีที่นู่นด้วย ซึ่งข่าวก็ไม่ได้อยู่ที่บาห์เรนอย่างเดียว แต่ที่อื่นก็พูดถึงด้วย ความใหญ่ความอลังการของมงกุฎทำให้เป็นที่พูดถึง

และอีกอย่างคือการที่ เจมส์ พาวิลเลี่ยน ได้รับเกียรติให้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ Rolls Royce Enthusiasts’s Club (RREC) คลับรถยนต์สุดหรูระดับโลก ได้จัดพิมพ์หนังสือขึ้นในโอกาสพิเศษ ภายใต้ชื่อ “The Legacy of Luxury” เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 60 ปี โดยการรวบรวมแบรนด์ที่บ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ระดับสูงต่างๆ ทั่วโลกที่ได้รับการคัดสรรโดยผู้ใช้รถยนต์ Rolls-Royce ทั่วโลก ซึ่ง ‘เจมส์ พาวิลเลี่ยน’ ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในแบรนด์จิวเวลรี่ชั้นสูงที่ได้รับการยอมรับในระดัโบสากล อีกทั้งยังเป็นแบรนด์จิวเวลรี่สัญชาติไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับเลือกในครั้งนี้

Q : 5 ชิ้นผลงานที่สุดแห่งความภูมิใจ

ชิ้นแรก : มงกุฎเพชรอันสูงส่ง ถือเป็นผลงานที่ใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ตั้งแต่การออกแบบ การเสาะแสวงหาเพชรน้ำงามคุณภาพดีเลิศจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 263 กะรัต ยอดมงกุฎประดับด้วยเพชรทรงกลม 8 กะรัต และ 5 กะรัต ประดับข้างเคียงอย่างสวยงาม ซึ่งแสดงถึงงานศิลปะชั้นยอดและงานฝีมือที่ประณีตบรรจงอันเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นโดยช่างฝีมือผู้ชำนาญงานและเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ จะประกอบตัวเรือนทีละชิ้น และเพชรทีละเม็ด โดยใช้เวลาร่วม 8 เดือนจนรังสรรค์เป็นมงกุฎที่ไม่อาจประเมินค่าได้นี้

ชิ้นที่ 2 : สร้อยคอทองคำขาวประดับด้วยไพลินและเพชร รวม 280 กะรัต มีเพียงชิ้นเดียวในโลก (One of a kind) โดย BLUE SAPPHIRE ทรงหยดน้ำเม็ดใหญ่ตรงกลางสีน้ำเงิน มีขนาดใหญ่ถึง 52.19 กะรัต

ชิ้นที่ 3 : สร้อยคอทองคำขาวประดับเพชรหลากทรง รวม 91.19 กะรัต ประกอบไปด้วยเพชรน้ำงามคุณภาพสูงทั้งหมดกว่า 236 เม็ด ผ่านการร้อยเรียงอย่างประณีตด้วยงานฝีมือชั้นสูง สะท้อนไลฟ์สไตล์สุดหรูของผู้สวมใส่

ชิ้นที่ 4 : ต่างหูทองคำขาวประดับไพลินและมรกตทรงหยดน้ำ รวม 24.21 กะรัต เพิ่มความหวานด้วยเพชรทรงรีด้านบนและเพชรห้อยประดับด้านข้าง รวม 5.7 กะรัต สวยสดใสสะกดทุกสายตา

ชิ้นที่ 5 : ต่างหูทองคำขาวระย้าประดับเพชรหลากทรง รวมกว่า 22.69 กะรัต ช่วยเสริมบุคลิกอันสง่างามน่ามองมากยิ่งขึ้น