ลูกสาวโวยแหลก! โพสต์พาพ่อป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ไปรักษาอาการปวดท้องด้วยสิทธิประกันสังคม แต่หมอไม่ให้แอดมิท ด้านโรงพยาบาล แจง รักษาด้วยดีมาตลอด 2 ปี ฉีดคีโมไปแล้ว 14 เข็ม แต่อาการที่มารักษาล่าสุดแค่ท้องเสีย ไม่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง จ่อดำเนินการตามกฎหมาย...
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 60 ที่ผ่านมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอและข้อความ ขณะพาคุณพ่อซึ่งป่วยเป็นมะเร็งตับระยะที่ 4 (ระยะสุดท้าย) ไปรักษาที่โรงพยาบาลศิครินทร์ บางนา โดยใช้สิทธิ์ประกันสังคม แต่ผลปรากฎว่าทางแพทย์ไม่ให้แอดมิทพักรักษาตัว โดยแจ้งว่าอาการคุณพ่อเป็นปกติ และไม่ยอมออกใบส่งตัวให้ไปรักษาที่อื่น ต้องกลับมาติดต่อในเวลาทำการ ขณะเดียวกันผู้โพสต์ยังอ้างว่า เมื่อหลายปีก่อน คุณพ่อมีอาการปวดท้องบ่อย จึงเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่แพทย์ได้แจ้งว่าเป็นโรคกระเพราะ เมื่ออาการเริ่มหนักก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 4 แล้ว ก่อนจะทิ้งท้ายว่าอยากให้ยกเลิกประกันสังคม โดยเงินที่หักไปเดือนละเกือบ 1,000 บาท สามารถซื้อประกันชีวิตได้ ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวได้ถูกแชร์ต่อและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก
...
ล่าสุด นายปรเมษฐ์ มั่นคง ผู้อำนวยการสายงานภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร โรงพยาบาลศิครินทร์ บางนา เปิดเผยกับทีมข่าวสายตรวจโซเชียล ไทยรัฐออนไลน์ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้โพสต์ได้พาคุณพ่อมารักษาจริง โดยคนไข้เป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งรักษากับทางโรงพยาบาลมานานกว่า 2 ปีแล้ว และเพิ่งทำการฉีดคีโมเข็มที่ 14 ไป แต่เมื่อวานนี้คนไข้มีอาการปวดท้อง-ท้องเสีย ทางแพทย์จึงทำการตรวจเลือด อุจจาระ และเอ็กซเรย์ปอด ผลปรากฎว่าเกร็ดเลือดเป็นปกติ อุจจาระไม่พบการติดเชื้อ ไม่มีไข้สูงหรืออาการอ่อนเพลีย กล่าวคือไม่มีอาการเกี่ยวกับฐานโรคเดิมคือโรคมะเร็ง แพทย์จึงไม่ได้ให้คนไข้แอดมิท และหากส่งต่อคนไข้ไปที่โรงพยาบาลอื่น ก็เชื่อว่าจะไม่ได้แอดมิทเช่นเดียวกัน แต่อาจเกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน จึงทำให้ลูกสาวคนไข้ไปโพสต์ลงในโลกโซเชียลตามที่ปรากฎ
นายประเมษฐ์ ยืนยันว่า ทางโรงพยาบาลมีการรักษาที่เป็นมาตรฐานด้วยดีเสมอมา และสิทธิประกันสังคมสามารถเข้าพักรักษาตัวนอนโรงพยาบาลได้ โดยหากย้อนกลับไปดูในเฟซบุ๊กของผู้โพสต์จะพบว่าเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางคนไข้ยังได้แอดมิทกับทางโรงพยาบาล และเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ญาติคนไข้ได้มาขอประวัติจากทางโรงพยาบาล เพื่อไปรักษาต่อที่อื่นแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าจะลบโพสต์ให้ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นทางโรงพยาบาลได้รับความเสียหาย จึงจะขอพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.