แม่หัวใจสลาย ลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านที่จันทบุรี ก่อนขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพฯ และไปประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่บ้านบึง บอกมีลูกสาวคนเดียวหวังฝากผีฝากไข้ยามแก่เฒ่า ฝ่ายผู้ตายโพสต์สุดท้ายเหมือนเป็นลาง ไม่อยากกลับกรุงเทพฯ...
จากอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงครั้งแรกของปี 2560 เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา รถตู้โดยสารสายจันทบุรี-กรุงเทพฯ ชนกับรถปิกอัพบนถนนสายแกลง-บ้านบึง เกิดไฟลุกไหม้คลอกร่างผู้โดยสาร และผู้ที่มากับรถทั้งสองคันรวม 25 ศพ รอดชีวิต 2 คน
ทั้งนี้ หนึ่งในจำนวนผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิต เป็นหญิงสาวชาวจันทบุรี ที่ต้องเดินทางกลับไปทำงาน หลังมาเยี่ยมบ้านและเยี่ยมแม่ช่วงปีใหม่ ได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวก่อนที่จะเสียชีวิต ว่า
"ฉันต้องตั้งชื่อยาวเพราะอยากรู้ว่าคุณจะยอมเสียเวลามั้ย เพื่อจะรู้ว่าฉันชื่อเจเจ" ระบุเป็นพนักงานขายรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งย่านพุทธมณฑล สาย 4 "รู้สึกใจหาย ไม่อยากกลับกรุงเทพ อยากอยู่บ้าน แค่มานั่งรอรถตู้ จะร้องไห้ คิดถึงพ่อแม่ อยู่ที่ไหนไม่อบอุ่นเท่าที่บ้านเราแระ"
ต่อมา ได้มีเพื่อน มีกลุ่มผู้ติดตามเข้ามาโพสต์แสดงความเสียใจและไว้อาลัยจำนวนมาก ส่วนหนึ่งบอกว่า "โพสต์สุดท้ายเหมือนเป็นลาง" อ้างว่าเจ้าของเฟซบุ๊กคือ น.ส.หทัยทิพย์ หรือเจเจ หมดภัย ชาว จ.จันทบุรี หนึ่งในผู้โดยสารเหยื่อรถตู้มรณะที่ชนกับรถกระบะไฟลุกไหม้เมื่อช่วงบ่าย โดยเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความดังกล่าวลงเฟซบุ๊กเพียงไม่กี่นาที ก่อนขึ้นรถตู้จากคิวรถหน้าห้างโรบินสัน จันทบุรี และไปประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในที่สุด สร้างความสะเทือนใจให้กับเพื่อนๆ และญาติพี่น้องเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะ นางวิมล หมดภัย อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20/43 ม.7 ต.จันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรี แม่ของ น.ส.หทัยทิพย์ ซึ่งได้เดินทางมาขอดูกล้องวงจรปิดกับทางคิวรถตู้หน้าห้างโรบินสัน กล่าวว่า ตนรู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นที่พึ่งสุดท้ายในยามแก่เฒ่าอย่างตอนนี้ แต่ต้องมาจบชีวิตลง ทั้งที่เพิ่งทำงานได้ปีเศษ ที่ จ.นครปฐม และกลับมาบ้านช่วงปีใหม่ มีโอกาสไปไหว้พระขอพร และทำบุญด้วยกัน ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่ลูกสาวจะกลับไปทำงาน จนกระทั่งมาทราบว่าลูกสาวเสียชีวิตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดของคิวรถ
...
"ยอมรับว่าเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากจะเรียกร้องกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคิวรถ ให้ช่วยกันดูแล ตรวจสอบความพร้อมของรถ รวมถึงคนขับ ในช่วงเทศกาลที่มีการโดยสารมากกว่าปกติแบบนี้ หน่วยงานภาครัฐจะต้องกำกับดูแลให้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้" แม่ผู้สูญเสีย กล่าวในที่สุด.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง