แอปเปิล เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ซานฟรานซิสโก เป็น iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ซึ่งไม่มีช่องต่อแจ็กหูฟังตามความคาดหมาย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้ามาอีกมากมาย...
บริษัท แอปเปิล ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ของโลก จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ หอประชุม บิล แกรแฮม ในย่านดาวน์ทาวน์ ของนคร ซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 7 ก.ย. โดยเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ 'iPhone 7' และ 'iPhone 7 Plus' ตามความคาดหมาย โดยตัดช่องต่อแจ็กหูฟังออก เน้นการใช้หูฟังไร้สายแทน และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีกล้องและอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นจากเดิมมาก
แอปเปิลแบ่ง องค์ประกอบต่างๆ ของ iPhone 7 และ 7 Plus ไว้ 10 ประเภทใหญ่ๆ อย่างแรกคือ การออกแบบ แอปเปิลเพิ่มสีใหม่ให้กับไอโฟนทั้ง 2 รุ่นคือ สีดำ (แบล็ก) และ เจ็ต แบล็ก อย่างที่ 2 คือ ปุ่มโฮม (home button) แอปเปิลออกแบบปุ่มโฮมใหม่ให้ตอบสนองต่อการน้ำหนักการกดได้ดีขึ้น อย่างที่ 3 คือ กันน้ำ และกันฝุ่นเข้าเครื่อง ได้มาตรฐาน IP67 หมายความว่า ป้องกันฝุ่นอย่างสิ้นเชิง และสามารถอยู่ใต้น้ำได้ที่ความลึกระหว่าง 15 ซม. ถึง 1 ม.
...
อย่างที่ 4 คือ กล้อง แอปเปิลได้ใส่ระบบกันสั่น OIS (Optical image stabilization) ให่กับทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus จากเดิมเป็นฟังก์ชั่นที่มีเฉพาะในรุ่นพลัสเท่านั้น โดยกล้องหลังมีเลนส์ 6 ชิ้น รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.8 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับ 2 โทน แฟลช ซึ่งเป็นไฟแอลอีดี 4 ดวง เพิ่มความสว่างขึ้นอีก 50% มี 'Flicker sensor' เซ็นเซอร์ตรวจจับการกะพริบของหลอดไฟ และสามารถชดเชยความเปลี่ยนแปลงขณะถ่ายรูปหรือวิดีโอ นอกจากนี้ แอปเปิลยังเพิ่มชิพประมวลผลสัญญาณภาพ (ISP) ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพขึ้น 2 เท่า พัฒนาการตรวจจับใบหน้าและร่างกาย, ปริมาณแสง, ความสมดุลของแสงสีขาว, ลดเสียงรบกวน และอื่นๆ รวมถึงสามารถรวมภาพถ่ายหลายๆ ภาพเข้าด้วยกัน ด้วยระบบการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) ทั้งยังสามารถตกแต่งหรือครอปภาพ ไลฟ์ โฟโต ได้แล้ว และหากใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ iOS 10 ก็จะสามารถถ่ายภาพไฟล์ภาพดิบ (RAW) ได้ด้วย ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล (เพิ่มจากเดิมที่ 5 ล้าน)
แอปเปิลได้เพิ่มกล้องมาอีก 1 ตัว สำหรับ iPhone 7 Plus เท่านั้น เป็นเลนส์เทเลโฟโต (telephoto) สำหรับถ่ายภาพวัตถุที่อยู่ไกลๆ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเช่นกัน และด้วยกล้องทั้ง 2 ตัวนี้ ทำให้ไอโฟนรุ่นนี้มีระบบซูมภาพในตัวแล้ว โดยระหว่างใช้งานแอพฯ ถ่ายภาพ จะมีปุ่ม 1X ปรากฏขึ้นมา สามารถใช้งานได้ 2 แบบคือ กดเพื่อเปลี่ยนเป็น 2X หรือ กดค้างไว้แล้วลากเพื่อปรับระยะ จาก 1X ไปจนถึง 10X โดยตั้งแต่ระยะ 1X-5X จะเป็นซูม optical และเมื่อเลย 5X ขึ้นไปจะเป็นซูม digital นอกจากนี้ กล้องทั้ง 2 ตัวยังให้กำเนิดฟีเจอร์ที่แอปเปิลระบุว่าเป็นการฝ่าทางตันของกล้องถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟน คือการถ่ายรูปแบบมีความตื้นลึก (Shallow depth of field) หรือการถ่ายรูปให้ภาพคนคมชัดแต่ฉากหลังเป็นภาพเบลอ โดยระหว่างการถ่ายภาพจะมีปุ่ม 'Portrait' ขึ้นมาให้กดเพื่อเปลี่ยนโหมด อย่างไรก็ตาม ระบบนี้จะเปิดให้ดาวน์โหลดใช้งานในช่วงปลายปีนี้
องค์ประกอบใหญ่อย่างที่ 5 ของ iPhone 7 และ 7 Plus คือ จอแสดงผล Retina HD ซึ่งแอปเปิลพัฒนาให้มีความสว่างมากกว่าจอของ iPhone 6 Plus 25% แบบ wide-color gamut มาตรฐานระดับโรงภาพยนตร์ และมีการแสดงผลของสีแม่นยำขึ้น อย่างที่ 6 คือ ระบบเสียง iPhone 7 และ 7 Plus จะมี สเตอริโอสปีกเกอร์ 2 จุด คือด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ส่วนอย่างที่ 7 คือ หูฟัง ซึ่งเป็นไปตามข่าวลือคือ แอปเปิลได้ถอดช่องเชื่อมต่อแจ็กหูฟังตามปกติออกจาก iPhone 7 และ 7 Plus โดยระบุว่า เป็นความกล้าหาญ และเชื่อในอนาคตของโลกที่การใช้สัญญาณไร้สายจะแพร่หลาย โดยแอปเปิลจะมี อแดปเตอร์สำหรับต่อแจ็กหูฟังปกติกับช่องเชื่อมต่อ ไลท์นิง (Lightning) ให้แทน
...
อย่างที่ 8 คือ ไวร์เลส (ไร้สาย) แอปเปิลท้าทายประสบการณ์การฟังเสียงโดยไร้สาย ด้วยการเปิดตัว 'AirPods' (แอร์พอดส์) หูฟังไร้สายที่ทำงานร่วมกับชิพ W1 ซึ่งเป็นชิพไวเลสตัวแรกในสมาร์ทโฟนของแอปเปิล โดย AirPods สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone 7 และ 7 Plus หรือ Apple Watch ซีรีส์ 2 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ได้ด้วยการนำมาวางใกล้ๆ กัน และกดปุ่มเชื่อมต่อที่ปรากฏขึ้นมาบนจอเท่านั้น หูฟังคู่นี้ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับให้ทำงานเมื่อพวกมันอยู่ในหูของคนฟังแล้วเท่านั้น และสามารถใช้เพื่อเข้าถึง Siri ด้วยการแตะ 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และลดเสียงรบกวนไมโครโฟนไร้สายด้วย ขณะที่แบตเตอรี่ของหูฟังคู่นี้ เมื่อชาร์จเต็มทำงานได้ 5 ชั่วโมง ตัวเคสที่มาพร้อมกันมีแบตเตอรี่ในตัวให้พลังงานรวม 24 ชั่วโมง และเมื่อชาร์จจากเคส 15 นาทีจะใช้งานได้ 3 ชั่วโมง
...
ขณะที่อย่างที่ 9 คือ Apple Pay แอปเปิลจะพัฒนาให้ระบบจ่ายเงินออนไลน์นี้ สามารถใช้งานกับ NFC (เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้น) ในญี่ปุ่น ซึ่งถูกเรียกว่า 'Felica' ได้ในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ และอย่างสุดท้ายคือ การแสดงผล iPhone 7 และ 7 Plus ใช้ชิพประมวลผลรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่าชิพ A10 Fusion (ฟิวชัน) เป็นชิพประมวลผล 4 คอร์ 64 บิต โดย คอร์ 2 ตัวจะเป็นตัวประมวลผลขั้นสูง ซึ่งเร็วกว่า ชิพ A9 ถึง 40% และเร็วกว่าชิพ A8 ของ iPhone 6s ถึง 2 เท่าตัว ส่วนคอร์อีก 2 ตัวเป็นคอร์ประหยัดพลังงาน ซึ่งใช้พลังงานเพียง 1 ใน 5 ส่วนของคอร์ 2 ตัวแรก ขณะที่ชิพประมวลผลกราฟิก เร็วกว่าของชิพ A9 50% และเร็วกว่าชิพ A8 ถึง 3 เท่า นอกจากนี้แบตเตอรี่ของ iPhone 7 และ 7 Plus ยังใช้งานได้นานกว่าแบตฯ ของไอโฟนรุ่นก่อนราว 2 ชั่วโมง โดย iPhone 7 ใช้งานไวไฟติดต่อกันได้นาน 14 ชั่วโมง ขณะที่ 7 Plus ใช้ได้ 15 ชั่วโมง
iPhone 7 มี 5 สีให้เลือกซื้อคือ เงิน, ทอง, ทองกุหลาบ (rose gold), ดำเงา (jet black) และ ดำ โดยมีขนาดความจุให้เลือก 3 ขนาดคือ 32GB, 128GB และ 256GB สนนราคาเริ่มต้นที่ 649 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 22,400 บาท) ส่วน iPhone 7 Plus มีราคาเริ่มต้นที่ 769 ดอลลาร์ (ราว 26,600 บาท) เริ่มเปิดให้สั่งจองตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. นี้เป็นต้นไป และจะเริ่มวางขายใน 28 ประเทศ (ไม่มีไทย) ในวันที่ 16 ก.ย.นี้ และจะวางจำหน่วยเพิ่มในอีกกว่า 30 ประเทศในสัปดาห์ต่อมา ส่วนหูฟัง AirPods จะวางจำหน่วยในช่วงปลายเดือน ต.ค. ในราคา 159 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5,500 บาท) ขณะที่แอปเปิลจะเริ่มเปิดให้ดาวโหลด ระบบปฏิบัติการ iOS 10 ในวันที่ 13 ก.ย. นี้
...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 'แอปเปิล' เปิดตัว 'Apple Watch Series 2' ยกเครื่องใหม่ ใส่ว่ายน้ำได้