คนที่กระทำผิดกฎหมาย และต้องเข้าไปอยู่ในคุกว่าทุกข์ทรมานแล้ว
แต่คนที่ไม่ได้กระทำผิดและต้องเข้าไปอยู่ในคุกนั้น ทุกข์ทรมานยิ่งกว่า!
รายงานพิเศษชิ้นนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เชิญอดีตแพะรับบาป 2 ท่าน มาพูดคุยถึงชีวิตอันเลวร้ายที่ผ่านมา จากการต้องเข้าไปใช้ชีวิตอย่างไร้อิสรภาพข้างหลังกรงทั้งที่พวกเขาไม่ได้กระทำความผิด เรื่องราวชีวิตแพะจะเป็นอย่างไร โปรดติดตาม...
แพะตัวที่หนึ่ง - ถูกกลั่นแกล้งจากคนรู้จัก และเป็นผู้เปิดประตูส่งตัวเขาเข้าสู่นรก จากข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุก 2 ปี 3 เดือน 20 วัน
...
เขาหาว่า ผมชิงทรัพย์ ทั้งที่ตัวอยู่อีกที่หนึ่ง
ค่ำคืนของวันที่ 10 ก.ค. 51 นายสมบัติ ขันอาสา อายุ 43 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ ถูกคนร้ายจี้ชิงทรัพย์กลางดึก จึงโร่เข้าแจ้งความที่ สน.บางเขน และได้ไปลงบันทึกที่ห้องสืบสวนในเวลา 02.15 น. จนถึงประมาณ 03.00 น. สอบสวนแล้วเสร็จ จึงออกมายืนคุยกับเจ้าของอู่แท็กซี่ที่รีบมาหาด้วยความเป็นห่วงหน้าสถานีตำรวจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านไป
ไม่กี่วันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เข้าจับกุมนายสมบัติ ในข้อหา ร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน จากการที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด ว่า โดนชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 51 เวลา 02.50 น. ขณะที่ กำลังขี่รถจักรยานยนต์จะกลับบ้าน ได้โดนแท็กซี่ปาดหน้าย่านศรีสมาน ผู้หญิงคนดังกล่าวจึงพาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาชี้ตัวว่า นายสมบัติ เป็นผู้ร่วมชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ไป
“เขาหาว่า ผมชิงทรัพย์ ทั้งที่ตัวผมเองก็อยู่อีกที่หนึ่ง ผมก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และพยายามอธิบายให้ตำรวจฟังแล้วว่า ผมไม่ได้ทำ เพราะตอนเกิดเหตุที่ศรีสมาน ผมอยู่ สน.บางเขน จาก สน.บางเขน มาศรีสมานต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ และเวลาที่ผมลงบันทึกห้องสืบสวนจากคดีที่ผมโดนจี้ คือเวลา 02.15-03.00 น. แล้วผมจะมาทันหรอ” นายสมบัติ ตั้งคำถาม
เจ็บช้ำ! คนรู้จักกลั่นแกล้ง แจ้งให้เข้าคุก ทั้งที่ไม่เคยมีปัญหากัน
นายสมบัติ เล่าต่อว่า หลังจากถูกจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนให้อัยการทันที โดยใช้หลักฐานจากการที่ผู้เสียหายชี้ตัว ซึ่งผู้เสียหายคนดังกล่าว เป็นคนรู้จักกันมาก่อน เพราะเป็นเพื่อนร่วมงานของผู้หญิงที่ไปจีบอยู่ และยืนยันว่า ไม่เคยมีปัญหาหรือทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน เวลาที่พาผู้หญิงที่จีบไปกินข้าวหรือไปเที่ยวจะชวนผู้เสียหายไปด้วยตลอด
ท้ายที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุก 15 ปี เนื่องจากว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เอาสำนวนหลักฐานสำคัญในการยืนยันที่อยู่ไปใส่ไว้ในสำนวนด้วย จากนั้น นายสมบัติจึงยื่นอุทธรณ์ ปรากฏว่า ศาลได้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย เพราะได้ใช้หลักฐานเป็นใบบันทึกห้องสืบสวนเพื่อยืนยันที่อยู่ที่แท้จริง รวมทั้ง ได้ให้เจ้าของอู่แท็กซี่ที่ยืนคุยกันหน้าสถานีตำรวจมาเป็นพยานด้วย อย่างไรก็ตาม รวมระยะเวลาที่ต้องอยู่ในคุกจนคดีถึงที่สิ้นสุด 2 ปี 3 เดือน 20 วัน ขณะที่ อีกฝ่ายได้ยื่นฎีกาต่อ ซึ่งศาลก็ตัดสินยกฟ้องเช่นกัน
“ตั้งแต่เกิดเหตุผมก็ไม่ได้คุยกับผู้หญิงคนนั้นอีกเลย เจอหน้ากันที่ศาลก็ไม่ได้คุย ส่วนคนร้ายตัวจริงที่ไม่ใช่ผมตำรวจก็จับไม่ได้ เพราะเขาสรุปว่าเป็นผมคนเดียว ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ผู้หญิงคนนั้นเขาทำแบบนี้ทำไม เหมือนเขาพยายามจะเรียกเงิน เพราะเขาเห็นว่าผมกินเที่ยวตลอดเลยเรียกเงินค่าเสียหาย 42,000 บาท ซึ่งถ้าผมทำจริงเงินแค่นี้ผมหามาให้ได้อยู่แล้ว แต่ผมไม่ให้เพราะผมไม่ได้ทำ” นายสมบัติ อธิบาย
...
"ฆ่าเขาได้ผมทำไปแล้ว" สุดอัดอั้น ถูกขังทั้งที่บริสุทธิ์
หลังจากที่ นายสมบัติ เป็นอิสรภาพ จึงได้เข้าแจ้งความกลับผู้เสียหายคนดังกล่าว ในข้อหาแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ และศาลได้นัดวันที่ 22 พ.ย. นี้ รวมทั้ง ได้ฟ้องตำรวจ สภ.ปากเกร็ด ที่ลงบันทึกในใบจับกุมทั้งหมด 15 คนด้วย โดยขั้นตอนดำเนินการอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) แล้ว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่เลือกฟ้องกลับผู้หญิงคนนั้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนั้น เพราะว่าอยากเปิดเผยความจริง เพื่อไม่ให้เกิดกับคนอื่นต่อไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ส่งผลกระทบกับชีวิตอย่างมาก ทุกคนที่บ้านต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เพราะไม่มีเงิน พอออกจากคุกมาก็ยังมีประวัติคดีชิงทรัพย์ติดตัวด้วย จะไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ
“ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก เป็นการติดคุกครั้งแรกในชีวิตทั้งที่ไม่ได้ทำผิด จากการที่คนรู้จักของผมเองแท้ๆ เป็นคนส่งผมลงขุมนรก คุณรู้มั้ย ข้างในนั้นมันแย่มากนะ ทำไมผมต้องเข้ามาอยู่ในนี้ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด หากผมฆ่าเขาได้โดยไม่ติดคุกผมคงทำไปแล้ว ทำไมเขาทำกับผมแบบนี้ ผมรู้นะว่าเขาอยู่ไหนแต่ผมไม่อยากทำ ถ้าผมจะทำก็คงทำไปนานแล้ว แค้นเหมือนกัน ที่มาใส่ร้ายผมแบบนี้” อดีตแพะคดีชิงทรัพย์ พูดด้วยน้ำเสียงปวดร้าว
...
แพะตัวที่สอง - บัตรประชาชนหล่นหาย มิจฉาชีพใช้เป็นเครื่องมือส่งยาเสพติด จำคุก 1 ปี 7 เดือน 13 วัน
บัตรประชาชนหายเป็นสิบปี พบคนร้ายใช้ส่งยาเสพติด จากเหนือเข้าเมืองกรุง!
นายอนุกูล นิธินุศากร อายุ 39 ปี พนักงานบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่ง เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 ให้ฟังว่า ตนไม่เคยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อน รวมทั้งไม่ได้เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับและไม่มีหนังสือมาแจ้งว่ามีการออกหมายจับทั้งสิ้น วันหนึ่งมีชาย 5 คน มาทราบภายหลังว่าเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติดนอกเครื่องแบบ เดินเข้ามาที่บริษัท มานั่งมองหน้าอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้น ฝ่ายบุคคลของบริษัทได้เรียกตนไปพบจนได้เจอกับชาย 5 คนนั้นที่นั่งรออยู่ด้านใน มีชายคนหนึ่งดึงรูปที่อยู่ในแฟ้มสีน้ำตาลออกมาให้ดู พร้อมถามตนว่า รูปนี้ใช่คุณไหม ตนตอบว่า ใช่ ชายคนดังกล่าวชี้ให้ดูอีกรูปพร้อมถามว่า ใช่รูปภรรยาคุณไหม ตนก็ตอบว่า ใช่ หลังจากสิ้นเสียงในคำตอบ ชายกลุ่มนั้นเข้ามาล็อกตัวและพาไปสอบสวนทันที
ระหว่างทางชายกลุ่มดังกล่าวได้สอบถามตนว่า เคยไปส่งของที่ไหนมาหรือไม่ ตนตอบว่า ไม่เคย เพราะทำงานอย่างเดียว ไม่สามารถนำรถออกไปส่งของอะไรได้ และยังถามต่อว่า เคยทำบัตรประชาชนหายหรือไม่ ตนก็ตอบว่า เคยทำหายตั้งแต่สมัยเรียนเป็นสิบปีแล้ว และตอนนี้ก็เปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่แล้วด้วย
นายอนุกูล อธิบายต่อว่า สำหรับรูปคดีนั้น มีกลุ่มมิจฉาชีพเก็บบัตรประชาชนของตนได้ โดยผู้ส่งของนั้น นำสำเนาบัตรประชาชนแนบในการส่งยาบ้า 2 มัด มัดละ 3,000 เม็ด และ 4,000 เม็ด จากภาคเหนือลงมาแถวรัตนาธิเบศร์ หลังจากนั้น ชุดพนักงานจับกุมได้จับกุมในส่วนของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ จากนั้นก็ขยายผลจนออกหมายจับตน แต่ในเอกสารต่างๆ ไม่มีลายเซ็นของตน และไม่มีกล้องวงจรปิดที่ยืนยันว่าเป็นตน
...
เกือบ 2 ปี ที่รอคอยอิสรภาพ ใช้เวลาเข้าออกงานยืนยันความบริสุทธิ์
ระยะเวลา 1 ปี 7 เดือน 13 วัน ที่นายอนุกูล ต้องใช้ชีวิตอย่างไร้อิสรภาพ เพื่อรอศาลชั้นต้นตัดสิน ในที่สุด เมื่อผลคำตัดสินออกมาปรากฏว่า ยกฟ้อง ด้วยการยกผลประโยชน์ให้แก่จำเลย เนื่องจากมีหลักฐานยืนยันไม่ว่าจะเป็นใบแจ้งความเรื่องบัตรประชาชนหาย เวลาสแกนนิ้วมือเข้าออกงาน ช่วงที่เกิดเหตุส่งของนายอนุกูลยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ศาลเล็งเห็นว่านายอนุกูลไม่ได้เกี่ยวข้อง จึงยกฟ้องในคดีดังกล่าว
“หลักฐานที่มาเอาผิดมีแค่สำเนาบัตรประชาชนอย่างเดียว และเป็นผู้ถูกกล่าวหา โดยผู้ต้องหาที่ตำรวจจับได้นั้น ชี้ตัวว่าผมเป็นคนส่งของ และหลังจากที่เขาได้ขึ้นศาลที่ อ.ฝาง เขาก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นผมด้วย ทั้งที่ผมก็นั่งอยู่ตรงนั้นเขาก็บอกว่าผมไม่ใช่ผู้ต้องหา มันก็สามารถทำให้ผมหลุดคดีนี้มาได้” นายอนุกูล กล่าว
พ่อแม่นึกว่าตาย ติดต่อไม่ได้เกือบ 2 ปี ภรรยามีครอบครัวใหม่
นายอนุกูล บอกเล่าถึงผลกระทบจากการติดคุกทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดว่า เมื่อครั้งที่เข้าไปอยู่ในคุกมีภรรยาทราบเพียงคนเดียว โดยตนได้ห้ามไม่ให้บอกพ่อกับแม่ ซึ่งพวกเขาคิดว่าตนเสียชีวิตแล้ว เพราะไม่สามารถติดต่อลูกชายได้ ส่วนภรรยาในช่วงแรกที่ติดคุกได้มาเยี่ยมอยู่บ่อยครั้ง จนช่วงหลังมาเริ่มห่างหายจากการเยี่ยม เมื่อตนเป็นอิสระภาพได้กลับไปยังที่พักก็พบว่า ภรรยามีครอบครัวใหม่ไปแล้ว ต่อมา พ่อของตนก็มาเป็นอัมพาตอีก หลังจากที่ทราบข่าวจากสื่อว่า ตนติดคุกทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด
“ตอนที่ออกจากคุกมา ผมไม่สามารถทำงานที่ไหนได้เพราะมีประวัติก่อคดีติดอยู่ แม้ว่าจะได้เงินเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ 3 แสนบาทก็ไม่เพียงพอกับสิ่งที่ผมได้เจอ และอนาคตที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตำแหน่งหัวหน้างานก็ต้องจบลง ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มันมากมายจนผมไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้เลย” นายอนุกูล กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
วอนเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบให้ชัดเจน อย่าทำชีวิตผู้บริสุทธิ์พินาศ
ในท้ายที่สุดนี้ นายอนุกูล กล่าวว่า ตนได้ฟ้องกลับตำรวจ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และเพื่อเป็นตัวอย่างในคดีอีกหลายๆ คดี ให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ต้องมายอมรับในสิ่งที่ตนเองไม่ได้กระทำ แล้วผู้กระทำความผิดตัวจริงก็ยังคงเดินลอยนวลอยู่ในสังคมต่อไป
“ผมอยากให้ตำรวจตรวจสอบเรื่องพยานหลักฐาน พฤติการณ์ ทุกอย่างให้ชัดเจน อย่าเอาคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปขังคุกเลย เพราะมันจะเกิดผลกระทบกับชีวิตเขาอย่างมาก ส่วนปัจจุบันผมเองก็ได้รับผลกระทบเรื่องครองครัว หน้าที่การงาน และสภาพจิตใจ โชคดีที่ผมเข้มแข็ง ยอมรับและอดทนในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หากผมอ่อนแอในวันนั้น วันนี้อาจจะไม่มีผมอยู่บนโลกนี้แล้วก็ได้” อดีตแพะคดียาเสพติด ฝากฝังทิ้งท้าย.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
- สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราวหรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่
reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ