ซอกแซกสัปดาห์นี้ ขออนุญาตเขียนถึงเรื่องอาหารการกินอีกสักครั้งนะครับ เพราะ เพิ่งมีโอกาสไปรับประทานอาหารยอดฮิตแห่งปี มาเมื่อ 2 วันก่อนนี่เอง หากไม่รีบเขียนถึงจะกลายเป็นคนล้าหลังตกเทรนด์ไปซะเปล่าๆ
เรื่องของเรื่องสืบเนื่องมาจากทีมงานซอกแซก ได้ยินเสียงโจษขานในทำนอง “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง” มากว่าปีแล้วว่า มีร้านอาหารทะเลประเภทกุ้ง หอย ปู ปลา คละเคล้ากันได้อย่างกลมกลืน พร้อมกับหอบใส่ถุงมาเทให้รับประทานบนโต๊ะนั่นเลย โดยมีกระดาษขาวๆแผ่นใหญ่แผ่นเดียวคลุมไว้แบบผ้าปูโต๊ะอเนกประสงค์ คือแรกๆก็เป็นผ้าปูโต๊ะ แต่พอเอาอาหารมาเสิร์ฟก็จะกลายเป็นจานขนาดยักษ์รองรับขึ้นมาทันที
ไม่มีจาน ไม่มีส้อม ไม่มีช้อนใดๆทั้งสิ้น มีเพียงกระดาษกันเปื้อนมาให้คล้องคอป้องกันน้ำซอสกระเซ็นเข้าใส่เสื้อคนกิน 1 แผ่นใหญ่ๆเท่านั้นเอง
เหตุที่ไม่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไร เพราะสไตล์ของร้านนี้เท่ากับบังคับกลายๆให้ลูกค้าใช้มือเปิบอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งแกะ ทั้งฉีก ทั้งจก ทั้งควักและจับใส่ปาก...ทุกอย่างไม่ใช้อะไรเลยนอกจากมือ
ครั้นเมื่อรับประทานเสร็จสรรพ เราก็ทิ้ง ซากกุ้ง หอย ปู เอาไว้บนโต๊ะนั่นแหละ ลุกไปล้างมือเรียกเด็กมาเช็กบิล จ่ายเงินเสร็จก็ออกจากร้าน ปล่อยให้เป็นภาระของเด็กประจำร้านที่โกยซากกุ้ง ซากหอย ซากปูไปไว้กลางโต๊ะอีกหน แล้วก็ใช้แผ่นกระดาษที่รองรับประทานเมื่อสักครู่นี้ ม้วนหรือห่อเศษอาหารเข้าด้วยกัน หอบไปทิ้งถังขยะได้เลย
ไม่ต้องเสียเวลาล้างถ้วย ล้างชาม ล้างมีด ล้างส้อมอะไรทั้งสิ้น
จากนั้นพนักงานก็เอากระดาษแผ่นใหม่มาปูคลุมโต๊ะสำหรับลูกค้ารายใหม่ ซึ่งจะมานั่งรับประทานในสไตล์เดียวกัน หมุนเวียนอย่างรวดเร็วโดยไม่เยิ่นเย้อ
ทั้งหมดนี้คือวิธีและกระบวนการในการเสิร์ฟ และการรับประทานของร้านซีฟู้ดแนวใหม่ มาแรงแซงทางโค้ง ที่ตั้งชื่อไว้ว่าร้าน “กุ้งถัง” และออกแบบโลโก้เป็นรูปถังเล็กๆ มีกุ้งโผล่ศีรษะออกมา 1 ตัว พร้อมกับอักษรภาษาอังกฤษคำว่า Koong Tung และ “eat with your hands” อยู่ข้างๆ
...
ว่ากันว่าในช่วงแรกๆ ที่เปิดขายทางร้านจะใช้ “ถัง” สเตนเลสใส่กุ้งหอยปูและปลาหมึกที่ปรุงรสแล้วหิ้วมาเทลงบนกระดาษปูโต๊ะเพื่อให้ลูกค้าหม่ำ...แต่หลังๆดูเหมือนจะไม่ใช้ถังแล้วละ โดยเฉพาะร้านที่ทีมงานซอกแซกไปรับประทานนั้นเขาใส่ “ถุง” พลาสติกออกมาเลย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากของดั้งเดิมหรือออริจินอลใช้ถังใส่ก่อนเทจึงเรียกว่า “กุ้งถัง” ด้วยประการฉะนี้
2 หนุ่มสาวที่เป็นทั้งหุ้นส่วนทางใจและหุ้นส่วนในการลงทุน เจ้าของความคิดในการบุกเบิกวิธีการรับประทานซีฟู้ดแบบใหม่สำหรับคนไทย จีรวัฒน์ วิริยะสกุลชัยพร และ ปิยฉัตร ปิยวัชรวิจิตร เคยให้สัมภาษณ์สื่อไว้หลายๆฉบับว่าได้แนวคิดทั้งหมดมาจากสหรัฐอเมริกาประเทศที่ทั้ง 2 เคยไปต่อสู้ชีวิตมาพักใหญ่นั่นเอง
ทั้ง 2 ทดลองเปิดจำหน่ายสาขาแรกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2558 ที่ตลาดนัดกลางคืน เลียบด่วนรามอินทรา ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เมื่อลูกค้าที่แวะมารับประทานรู้สึกทั้งสนุกและอร่อย เก็บไปบอกต่อ ทั้งแชร์ ทั้งเช็กอินผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ จนโด่งดังในชั่วพริบตา
แค่เดือนเดียวลูกค้ามาเข้าคิวยืนรอรับประทานน้องๆโรงทาน ทำให้ 2 หนุ่มสาวต้องตัดสินใจเปิดสาขา 2 ที่ เจเจกรีน ตลาดนัดกลางคืน สวนจตุจักร ตามมาด้วยตลาด I Mall ปากน้ำและล่าสุด สาขาที่ 4 ที่ตลาดนัดใหม่เอี่ยมอ่องเลียบด่วนเมืองทองธานี
สำหรับต่างจังหวัดก็ทยอยเปิดอีกหลายแห่ง ไล่ตั้งแต่เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ไปจนถึงบางแสน ระยอง หัวหิน ฯลฯ
สำหรับร้านที่ทีมงานซอกแซกแวะไปรับประทานอันเป็นที่มาของข้อเขียนสัปดาห์นี้ ได้แก่ สาขาที่เพิ่งเปิดใหม่เอี่ยมอ่องล่าสุดที่ “ตลาดนัดมะลิ” หรือตลาด เลียบด่วนเมืองทองธานี ที่อยู่ไม่ไกลจากสนามฟุตบอล SCG เมืองทองยูไนเต็ด เท่าไรนัก
เรื่องราวในตลาดนัดน้องใหม่แห่งนี้ ก็มีอะไรน่าสนใจและน่านำมาเขียนถึงอย่างยิ่ง ซึ่งทีมงานซอกแซกขอผลัดเอาไว้เป็นวันหน้าวันหลัง เพราะวันนี้อยากจะเขียนถึง “กุ้งถัง” ซะก่อน เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ดังที่ได้อารัมภบทไว้
ถ้าจะถามว่าอะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้ “กุ้งถัง” ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นนี้
คำตอบแรกน่าจะเป็นเพราะความสดของอาหารทะเลที่นำมาปรุง และสนนราคาที่ไม่แพงเกินไปนัก...เมื่อเทียบกับร้านอาหารตามศูนย์การค้า
ขณะเดียวกันการรับประทานด้วยมือที่คนไทยเราคุ้นมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เมื่อนำมาใช้กับการรับประทานในสมัยใหม่ ได้กลายเป็นการเพิ่มรสชาติไปอย่างคาดไม่ถึง เพราะทำให้ผู้บริโภครู้สึกสนุกสนานในการแกะ หรือหยิบขึ้นใส่ปากทีละชิ้น 2 ชิ้น
รวมทั้งการที่อาหารวางกองอยู่บนพื้นโต๊ะ ก็เป็นเสน่ห์อีกประการหนึ่ง ที่ทำให้ผู้รับประทานจะต้องลงมือถ่ายรูปส่งไปอวดเพื่อนฝูงร่วมไลน์หรือออกโซเชียลอื่นๆก่อนอะไรทั้งหมด และเมื่อรับประทานเสร็จ เหลือเปลือกหอยและเปลือกกุ้งกองโต ก็จะมีการถ่ายภาพอีก จึงกลายเป็นภาพถ่ายประเภท Before และ After ที่สร้างความประทับใจเรียกเสียงเฮฮาและฮือฮา ทั้งแก่ผู้รับประทานและผู้พบเห็นภาพที่ว่านี้
เข้าสูตรการใช้ชีวิตในยุคสื่อสารออนไลน์ และสังคมก้มหน้าได้อย่างลงตัว
ต้องขอปรบมือให้แก่ความคิดสร้างสรรค์ของ 2 หนุ่มสาวคู่นี้ ที่รู้จักใช้ประสบการณ์และสิ่งที่พบเห็นในต่างแดนมาพัฒนาและต่อยอดจนประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง
ท่านที่ยังไม่เคยลิ้มลอง จะแวะไปลองสักหนสองหน ก็เชิญเถิดครับ สาขาไหนอยู่ใกล้บ้านก็แวะไปสาขานั้น
เพียงแต่อย่ารับประทานบ่อยนักก็แล้วกัน ...เพราะของอร่อยกับสุขภาพมักสวนทางกัน อร่อยมากก็อ้วนมาก มีโรคแซกซ้อนง่าย...ฉะนั้นขอให้เดินสายกลาง คือรับประทานแต่พอดี พอควร ก็จะได้ทั้งความอร่อยและสุขภาพที่แข็งแรงควบคู่กันไปนั่นแล.
...
“ซูม”