นายกฯ เผยยังมีการบิดเบือนในชาติอยู่ ยันไม่คิดเลิก 30 บาทรักษาทุกโรค-เรียนฟรี 15 ปี ลั่นหากร่างฯ ไม่ผ่านประชามติ จะเขียนเอง ขู่ย้าย ขรก. หากทำงานไม่ได้เรื่อง
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 59 ที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2559
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ยังมีการบิดเบือนในชาติเกิดขึ้น ล่าสุด ได้รับรายงานว่ามีแท็กซี่บอกผู้โดยสารว่าไม่ต้องไปลงประชามติ พร้อมระบุว่าถ้ารัฐบาลเข้ามา ถ้าไม่ใช่รัฐบาลเขาเอง ซึ่งไม่รู้ว่าเขาไหน จะยกเลิกหลักประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค และยกเลิกเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้เกิดความสับสน และปัจจุบันยังมีปัญหาอย่างนี้อยู่มาก ยืนยันการเข้ามาของตนเพื่อให้เกิดความชัดเจน เพื่อวางรากฐานไว้ให้แล้วก็ไป วันหน้าจะได้ไม่กลับมาที่เดิม ดังนั้นรัฐบาลจึงเน้นทำกฎหมายให้ชัดเจน แต่ไม่ใช่ใช้กฎหมายแรงขึ้นจนไม่มีทางแก้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้ยังมีการทะเลาะกันบนหน้าหนังสือพิมพ์ และระบุว่า ประชาชน 70-80% ยังไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น และถึงเวลาเลือกตั้งก็กลับไปเป็นแบบเดิมอีก ซึ่งมันเป็นชะตากรรม ทุกคนจึงต้องเร่งในเรื่องที่เป็นปัญหา ตนทำได้แค่นี้ ตนไม่รู้ทุกเรื่อง รู้แต่ปัญหาอยู่ที่ไหน แก้อะไร ซึ่งทหารรู้แค่นี้ โดยทหารต้องตีที่หมายเร็วๆ หากยึดที่หมายช้าก็จะตายกันมาก ดังนั้นจึงต้องยึดที่หมายใหญ่ให้ได้ และให้สูญเสียน้อยที่สุด ที่ผ่านมาเราปล่อยให้ประเทศไม่มีแม่ทัพมากี่ปีแล้ว ปล่อยให้มีที่หมายสะเปะสะปะกี่ปีแล้ว การประเมินจากต่างประเทศก็ลดต่ำลงให้ความสำคัญกันบ้างหรือไม่ ตนเข้ามาต้องการทำเพื่ออนาคตทั้งสิ้นและในบางเรื่องที่จำต้องใช้มาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหา อีกทั้งวันนี้ยังมีการบิดเบือนในต่างประเทศ ว่ารัฐบาลขังนักข่าว ปิดทีวี และหนังสือพิมพ์ ฆ่าคน ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. ยังไม่มีใครตาย ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนรวมทั้งสื่อช่วยชี้แจงด้วย อย่าให้มองว่าเป็นรัฐบาลรัฐประหารแล้วเหมือนกันทั้งโลก แม้ว่าตนสามารถทำได้ เช่น การปฏิรูปตำรวจใหม่จะให้ปลดทีเดียวถอดยศให้หมด ตั้งใหม่ตั้งแต่ยศสิบตรีได้หรือไม่ ซึ่งหากทำแล้วมีปัญหามากๆ เราจะทำใหม่ให้ทั้งหมด และอยากให้ประชาชนกับตำรวจรักกันมากหรือไม่ ถ้าไม่ทำความผิดอย่าไปกลัว จึงต้องทำให้ประชาชนเข้าใจกฎหมาย อย่าให้เจ้าหน้าที่บังคับประชาชนอย่างเดียว แต่ต้องมีกฎหมายบังคับเจ้าหน้าที่บ้างเพื่อให้ทุกคนวางใจ
...
"ผมถึงบอกว่าถ้าไม่เรียบร้อยจะเขียนเอง เขียนแบบที่ประชาชนต้องการ ไม่ใช่เขียนตามที่ผมอยากเขียน แต่จะเอาความรู้สึกของประชาชนว่าต้องการอะไรมาเขียน แล้วดูว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ใจ ไม่มีอะไรที่ในโลกนี้ทำไม่ได้ ที่ผมคิดแบบนี้เพราะทหารผ่านอะไรมามาก ที่ผมคิดแบบนี้เพราะเป็นทหารเสี่ยงตายมาเยอะ ผมเลือกเป็นทหารบกเพราะเท้าติดดิน พอมาอยู่ ร.21 เป็นทหารเสือ ต้องกระโดดร่มแนวดิ่ง ดึงร่มด้วยตัวเอง กำหนดชะตาของตัวเอง ตั้งแต่ดึงร่มผมก็รู้ว่าชีวิตผมทำได้ทุกอย่าง ถ้าไม่ดึงก็ตาย หากดึงผมก็รอด หากคิดแบบนี้ก็ทำได้หมดทุกคน จำที่ผมคิดให้ดีๆ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทุกหน่วยงานต้องเร่งทำงาน หากทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็จะย้ายทุกกระทรวง ขอให้ถามตัวเองว่าวันนี้ได้เดินหน้าเชิงรุกแล้วเอาปัญหามาแก้แล้วหรือไม่ ที่สำคัญต้องพูดภาษาประชาชนให้ได้ว่าต้องการอะไร อย่าตอบเพียงว่า คสช. เป็นคนสั่ง และรอให้ คสช.ไป ซึ่งตนได้ให้ไปไล่ล่าอยู่ข้างล่างทุกที่ เพราะตอบแบบนี้ไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ได้พบกับคนพิการซึ่งได้บอกกับตนว่า เวลาจะได้อะไรได้จากรัฐบาลปฏิวัติทุกครั้ง ซึ่งมันต้องไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว อย่าคาดหวังให้เกิดการปฏิวัติ ตนรู้ว่าเสี่ยงแต่ตัดสินใจเข้ามาแล้ว ซึ่งไม่ใช่เกิดเพราะตนทำให้เกิด แต่เกิดเพราะสถานการณ์ทำให้เกิด จึงขออย่าให้เป็นเช่นนั้น ขณะเดียวกันยังมีดอกเตอร์มาขอตนให้ใช้มาตรา 44 ถามว่าเกิดอะไรขึ้น และวันหน้าหากไม่มีมาตรา 44 จะอยู่อย่างไร ฝากไปคิดกันด้วย วันนี้ที่ตนพูดหนักๆ เพราะเป็นห่วงอยากให้ทุกคนห่วงร่วมกับตน เพราะไม่ได้หวงความรักชาติไว้คนเดียว ที่พูดรุนแรงไปบ้าง เพราะด้วยเวลาและข้อจำกัด ขี้เกียจทะเลาะกับคน และขอให้ประชาชนไปเปรียบเทียบกันเองว่าอะไรดีไม่ดี ถ้าไม่ดีก็ไปร่วมมือกับเขาในวันหน้า แต่หากคิดว่าดีก็ให้มาร่วมมือกับเรา ตนเชื่อว่าทำดีต้องได้ดี ทำกุศลกับคนยากย่อมได้กุศลดีกว่าไปจองทำบุญกุศลขึ้นสวรรค์ในชาติหน้า