เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจ และ จับตาอย่างใกล้ชิด สำหรับคดี สาววัยรุ่น อายุ 17 (ตอนเกิดเหตุ) ถูกแจ้งความข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง มูลค่ามหาศาลกว่า 10 ล้าน แต่ด้วยที่ไม่ได้ไปรายงานตัวเมื่อตำรวจออกหมายเรียก จึงถูกออกหมายจับ กระทั่งถูกส่งตัวเข้าบ้านปรานี กระทั่งเมื่อตำรวจผัดฟ้อง เธอจึงได้รับการปล่อยตัว

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอนำผู้อ่านทุกคนสัมผัสเบื้องหลังชีวิตของ “น้องก้อย” ปัจจุบันอายุ 19 ปี กับชีวิตที่ถูกกล่าวหาในข้อหาฉกรรจ์ นอกจากนี้ ยังได้สอบถามความคืบหน้าคดีจาก “สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์” ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่สำคัญ เรายังพบว่ามีผู้มาร้องเรียนอีก 1 คน ในคดีลักษณะคล้ายคลึงกัน

ทนายสงกานต์ เผยข้อมูล คดีเด็กเรียนดี ลักทรัพย์ 10 ล้าน!

ทนายสงกานต์ เล่าความคืบหน้าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ (17 มิ.ย.) ได้รับแจ้งกรณีน้องก้อยจากผู้สื่อข่าวสายอาชญากรรม ว่ามีเด็กอายุ 17 ปี ถูกดำเนินคดีร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างมูลค่ากว่า 10 ล้าน เมื่อได้พบกัน ก็ทราบว่าวันที่ 21 มิ.ย.59 จะต้องไปพบพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น เพื่อส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับน้องก้อย “ได้ยืนยันว่าไม่เคยกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา” จากนั้นจึงได้ร่วมกับทนายอีก 1 คน คือ ทนายกมลศักดิ์ ศรีประเสริฐ ร่วมกันสืบหาข้อเท็จจริง จึงเข้าไปสอบถามข้อมูลกับทางตำรวจ ทราบว่ามีการแจ้งความว่าของหาย 11 รายการ เป็นทองคำแท่ง แท่งละ 10 บาท จำนวน 40 แท่ง มีเครื่องเพชร และ ทองรูปพรรณ อีกมากมาย

...

ทนายสงกานต์ กล่าวอ้างต่อว่า สิ่งที่สงสัยคือ ทรัพย์สินดังกล่าวมีจริงหรือไม่ จึงได้ให้ทนายอีกคนไปร่วมหาข้อมูลพบว่า มีการกล่าวถึงใบเซอร์ ในทรัพย์สินบางรายการ ดังนั้น จึงได้ทำหนังสือเพื่อขอให้เลื่อนการส่งตัวออกไปก่อน โดยได้ยื่นเรื่องผ่านทางผู้กำกับ สน.ประชาชื่น เพื่อให้ได้มีการตรวจสอบ กรณีน้องก้อยขอความเป็นธรรม และมีโอกาสตรวจสอบผู้จำหน่ายทรัพย์สินนั้นๆ ว่ามีจริงหรือไม่

ต้องหาคำตอบ ทรัพย์สินมีจริงหรือไม่ ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ

“เราอยากรู้เหมือนกัน ว่าผู้เสียหายถูกลักทรัพย์จริงหรือไม่ เราเองก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาเหมือนกัน เราเองจะไม่ฟังแต่ตัวน้องก้อยอย่างเดียว ผมบอกกับน้องก้อย หากเขามีหลักฐานว่าน้องก้อยเอามือกวาดทรัพย์สิน หรือ เอาทรัพย์สินเขาไป ก็ต้องรับผลกรรมที่การกระทำ ส่วนพ่อแม่ของน้องก้อยที่ถูกหมายจับนั้น เนื่องจากอัตราโทษตาม ป.วิอาญา มาตรา 66 กรณีโทษจำคุกเกิน 3 ปี สามารถยื่นขอหมายจับต่อศาลได้ แต่เคสน้องก้อย ที่โดนหมายจับ เนื่องจากครั้งแรกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกแล้ว น้องก้อยเองก็มีทนายอยู่ก่อน ที่มาจากสภาทนายความ แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงได้โดนออกหมายจับ ซึ่งน้องก้อยเองยืนยันว่าไม่ทราบว่าถูกออกหมายจับ เพราะในวันที่ 18 มี.ค. วันที่เขาออกจากการทำงาน เมื่อทราบว่านายจ้างไปแจ้งความ จึงได้มาแสดงตัวที่โรงพักทันทีทันใด มาทั้งครอบครัว พ่อแม่และตัวเขา เมื่อเจอหน้านายจ้างก็ถูกด่าจนช็อกหมดสติ จนตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เพราะตั้งแต่เป็นเด็กจนโตไม่เคยโดนด่าขนาดนี้” นายสงกานต์ กล่าว

นายสงกานต์ กล่าวอีกว่า ที่โรงพัก เขาแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ตำรวจตรวจค้น และที่ไม่มีใครทราบคือ เขาได้ลงบันทึกประจำวันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าให้ตำรวจตรวจค้นแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์ใจด้วย ที่สำคัญคือ มีตำรวจพิสูจน์หลักฐานคนหนึ่งเห็นว่าครอบครัวเขาก็ไม่มีเงินแม้แต่จะกลับบ้าน ตำรวจจึงได้แต่เรี่ยไรเงินได้ 3,500 บาท เป็นค่ารถกลับบ้าน ซึ่งตำรวจคนนี้มีตัวตนจริงๆ ปัจจุบันถูกย้ายมาที่กองปราบ”

โผล่อีกคดี สาววัย 21 ร้อง แม่ถูกแจ้งจับลักทรัพย์มูลค่า 3.2 ล้าน

ในเวลาต่อมา 21 มิ.ย. ได้พาน้องเขามาที่กองปราบ โดยมี พ.ต.พนักงานสอบสวน เพื่อให้กองปราบไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าทรัพย์สินที่มีการกล่าวอ้างมีข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างไร

วันที่ 22 มิ.ย. พนักงานสอบสวนแจ้งมาว่า ไม่สามารถสอบปากคำเพิ่มเติม กรณีขอให้ตรวจสอบทรัพย์สินที่ยื่นไป โดยบอกว่าให้ไปยื่นเรื่องที่สำนักงานอัยการสูงสุด

วันที่ 23 มิ.ย. ได้ยื่นตามที่ได้รับคำแนะนำ ที่สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงในประเด็นที่สงสัย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมของคดี เพราะหลักฐานที่นำมายื่นผ่านสื่อมวลชนนั้น เป็นเพียงภาพนิ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นภาพภายในคอนโดฯ

“หากผมเห็นภาพน้องก้อยโกย หรือ นำทรัพย์สินภายในห้องมาจริง ผมขอประกาศเลยว่า จะถอนตัวในคดีนี้ เพื่อความเป็นธรรมในทุกฝ่าย อย่างไรก็ดี ในขณะที่ไปยื่นเรื่องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อพบว่า มีอีก 1 เคส มายื่นเรื่องขอความเป็นธรรม เหมือนกัน ว่าถูกนายจ้างรายเดียวกัน แจ้งจับในคดีลักทรัพย์มูลค่าประมาณ 4 ล้านบาท โดยมาร้องเรียนว่า ตอนนี้แม่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยถูกขังตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา คดีนี้อยู่ในระหว่างฟ้อง แต่เขาไม่มีเงินประกันตัวออกมาสู้คดีจึงต้องติดคุก ซึ่งทราบว่ารายนี้คือรายที่ 2 ต่อจากคดีของน้องก้อย” นายสงกานต์ กล่าวอ้าง 

...

ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กล่าวต่อว่า เมื่อเห็นเป็นดังนี้ จึงได้ประสาน สำนักงานกองทุนยุติธรรม ของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เพื่อให้ทราบว่ามีเหตุลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นในพื้นที่นครบาล จึงอยากขอให้มาช่วยเหลือ ซึ่งทางกรมคุ้มครองฯ ได้ให้คำตอบว่า หากเรื่องเข้าหลักเกณฑ์ก็พร้อมจะประกันตัวให้พ่อแม่น้องก้อย และ แม่ของน้องมิน ด้วย นอกจากนี้ยังมีอีก 1 เคสที่ร้องมาใหม่ ถูกศาลสั่งจำคุก 2 ปี 6 เดือน ซึ่งในเคสนี้คือศาลมีการตัดสินแล้ว ทางช่วย คือ เราจะหาทางรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งเท่าที่รับเรื่อง ทั้งหมดมี 4 คดี ซึ่งเราจะเน้นเรื่องความยุติธรรมให้กับเขา เคสไหนทำผิดก็ต้องรับโทษ แต่ก็ต้องไล่ดูทีละเคส ซึ่งใครอยากจะร้องเรียนหรือมีข้อมูล ก็สามารถแจ้งมาได้ที่ เฟซบุ๊ก สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์

เปิดใจอีกคดี มารดา วัย 54 ปี ถูกจับข้อหาลักทรัพย์ ค่า 3.2 ล้าน 

เมื่อทราบข้อมูลดังนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงไม่รอช้าได้ติดต่อไปยังญาติของผู้ต้องหาในคดีที่ 2 ทราบชื่อคือ น.ส.วณิชยา บุ้นสุนเฮง หรือ มีน อายุ 21 ปี ซึ่งได้ข้อมาขอความเป็นธรรมให้กับ “มารดา” คือ นางสุกัญญา ศิริม่วง อายุ 54 ปี ที่ กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ซึ่ง มีน กล่าวกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า ได้เห็นข่าวกรณีน้องก้อย เห็นว่าเรื่องทำไมเหมือนของเราเลย นายจ้างที่แจ้งความจับแม่เราก็คนเดียวกันสถานที่เดียวกัน จึงได้ร้องเรียนไปยังรายการและติดต่อไปยังทนายสงกานต์

...

น.ส.วณิชยา อ้างว่า แม่ได้สมัครทำงานผ่านศูนย์จัดหางานแห่งหนึ่ง จากนั้นศูนย์ก็ได้ส่งคุณแม่มาทำงานกับนายจ้างรายเดียวกับน้องก้อย จากนั้นได้ทำงานประมาณ 10 วัน ก็ไม่ไหว...จึงลาออกโดยอ้างว่าจะขอกลับไปอยู่กับลูกสาว อีกประมาณ 10 กว่าวัน นายจ้างรายเดิมได้โทรหาบอกว่าจะให้วันละ 500 บาท ให้กลับมาดูแลเหมือนเดิม แต่เมื่อกลับมาทำงานก็มีปัญหาเรื่องงาน มีนจึงแนะนำให้ลาออก แต่แม่ก็อดทนบอกว่าจะรอเงินเดือนก่อน แต่แล้ววันที่เงินเดือนออก เขาก็เดินทางไปต่างประเทศ แต่ก็มีคนเอาเงินมาให้ 12,000 บาท ซึ่งอ้างว่าเป็นตำรวจ แต่จริง ๆ แล้วต้องได้เงินเดือน 15,000 บาท แต่เมื่อได้ดังนั้น ก็ไม่รอเงินส่วนที่เหลือได้ออกจกบ้านทันที

น.ส.วณิชยา กล่าวอ้างอีกว่า จากนั้นช่วงค่ำ นายจ้างโทรมา บอกว่าแจ้งจับแล้ว กล่าวหาว่าเอาเงินไป 50,000 บาท พร้อมกับแหวนเพชรอีก 1 วง เราได้ปฏิเสธเพราะไม่รู้เรื่อง วันที่ 3 ธ.ค.58 ก็มีตำรวจโทรมา บอกว่าแม่เราลักทรัพย์ แต่เราคุยกับแม่แล้ว แม่ยืนยันว่าไม่ได้ขโมย ถ้าแบบนั้นเขาจึงให้แม่ไปแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ลักทรัพย์ เย็นวันนั้นจึงนั่งรถไปรับแม่ที่ จ.ลพบุรี เช้าวันที่ 4 ก็มาที่ สน.ประชาชื่น เมื่อแม่เข้าไปใน สน.ก่อน โดยที่เราไม่ได้เข้าไปที่โรงพัก แต่เมื่อพยายามติดต่อ กลับติดต่อไม่ค่อยได้ กระทั่งแม่ได้โทรกลับมาบอกตอน 4 โมงเย็น บอกว่ากำลังถูกนำตัวไปศาล

“แม่บอกกับเราว่าถูกบังคับให้เขียน ว่าเอา นาฬิกาโรเล็กซ์ แหวนเพชร สร้อยทองคำ และอื่น และ เงินสด 1 ล้านบาท ให้ยอมรับเพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของนายจ้าง ซึ่งนายจ้างอ้างว่าจะมาช่วยและแถลงข่าวให้ ด้วยความเชื่อใจนายจ้าง ก็เลยเซ็นชื่อยอมรับไป จากนั้นก็ถูกควบคุมตัวไปศาลโดยต้องใช้เงินประกันตัว 5 แสน แต่เราก็ไม่มีเงิน จึงเข้าเรือนจำตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา” น.ส.วณิชยา กล่าวอ้าง

...

“ตอนนี้เป็นพนักงานขายโทรศัพท์ ที่ห้างแห่งหนึ่งย่านประชาชื่น ความเป็นอยู่ตอนนี้ลำบากมาก ต้องหาเงินคนเดียว เมื่อก่อนมีแม่อยู่ก็ช่วยกันทำงานหาเงิน เมื่อก่อนแม่จะอยู่กับพี่สาวที่ จ.ลพบุรี แต่มาตอนนี้ก็ต้องพยายามหาเงินมาประกันตัวแม่ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ไปเยี่ยมแม่ และบอกว่ามีกรณีที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กัน เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้แม่ฟัง บอกว่า “แม่จะได้ออกแล้วนะ..” ตอนนี้พยายามช่วยเหลือกันอยู่ แม่บอกว่า อยู่ข้างในลำบากมาก ตอนนี้เงินประกันเราก็ไม่มี สิ่งที่หวังตอนนี้คือ อยากจะให้แม่ได้ออกมาก่อน จึงได้ไปร้องที่ กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ หวังว่าจะได้ความยุติธรรมในเรื่องนี้” ลูกสาวผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ กล่าว

เปิดใจ “น้องก้อย” กับชีวิตในบ้านปรานี และแนวทางสู้คดีหลังจากนี้

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ต่อสายตรงพูดคุยกับ “น้องก้อย” ซึ่งเปิดเผยความรู้สึกหลังแนวทางสู้คดีว่า หลังจากนี้ คงจะดำเนินการเรื่องส่งตัวและสำนวน โดยก่อนหน้านี้ได้ขอเลื่อนมาเป็นต้นเดือน ส่วนเรื่องสู้คดียังไม่ได้คุยกับอาจารย์สงกานต์ จากนั้นจะเตรียมยื่นประกันตัว เพราะหากไม่ประกันก็อาจจะถูกส่งตัวเข้าบ้านปรานีอีกครั้ง ส่วนหลักทรัพย์นั้นคาดว่าเป็น 1 ใน 3 ของทรัพย์สิน แต่คิดว่าหากขึ้นศาลเยาวชนน่าจะไม่ถึง ส่วนเรื่องเงินเราไปยื่นเรื่องกับกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้ช่วยเหลือ ตอนนี้คงรอตอบรับ

น้องก้อย กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้ เราทำงานมาหลากหลายอาชีพ ทั้งร้านอาหารย่านประชาชื่น เด็กเดินตั๋วโรงหนัง หลังจากได้รับการปล่อยตัว ก็ไปทำงานบัญชีที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ขายเซ็ทท็อปบ็อกซ์ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ แต่ตอนนี้ขอลางานมา พี่ผู้จัดการเขาก็สงสารและเข้าใจ ด้วยที่ว่าเราทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ จึงได้ทำงานหาเงินมาตลอด ทำงานครั้งแรก คือ การช่วยตัดใบตอง ห่อกะละแม ซึ่งยายได้จ้างทำ ซึ่งตอนนั้นจำไม่ได้แล้วว่าได้เงินเท่าไหร่ เพราะพ่อแม่เขาอยากให้เราทำตั้งแต่เด็ก งานที่ทำทั้งหมดเฉพาะช่วงปิดเทอม

เสียใจที่สุดในชีวิต พี่ชายป่วยอยู่แล้วทราบข่าว ตรอมใจเสียชีวิต

น้องก้อย เล่าต่อว่า ที่ผ่านมา ได้เข้าไปอยู่ในบ้านปรานี ครั้งแรกรู้สึกเครียดมาก เราเองเป็นคนที่รักที่จะไว้ผมยาวมากถึงเอว ไม่เคยที่จะตัดผม มีแค่เล็มๆ เท่านั้น แต่เมื่อเข้าไปแล้วเป็นระเบียบที่ต้องตัดผมสั้นมาก เราเองคิดถึงแม่มาก อยากออกไปหาแม่ก็ไปไม่ได้ มองฟ้าก็เห็นแต่กรอบสี่เหลี่ยมกำแพง ซึ่งที่นั่นมีกฎว่า “ห้ามมองออกนอกหน้าต่าง” คงเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง มีบ้างที่คิดชั่ววูบหนึ่งว่าอยากจะฆ่าตัวตาย นอนร้องไห้ และบางครั้งก็มีอาการตัวเกร็ง เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้ทำผิดทำไมต้องเข้ามาอยู่ในนี้ จากนั้นก็เข้าไปเจอผู้คุมซึ่งให้กำลังใจดีมากชื่อพี่กบ เขาพยายามช่วยเราปรับทุกข์ ซึ่งเขาพูดกับเราคำหนึ่งซึ่งจำยังทุกวันนี้คือ “ก้อยมองฟ้าสิ ตอนนี้ฝนตกไหม...ไม่ตกค่ะ...เห็นมั้ยฝนมันไม่ได้ตกทุกวัน” ซึ่งเธอแปลความว่า....บางทีมีมืดมีสว่าง บางวันฝนตก-ฝนไม่ตก ฟ้ามันครึ้มก็เหมือนจิตใจเรา แต่พอฟ้าสว่างมันก็เป็นฟ้าวันใหม่ เราก็เริ่มต้นใหม่ได้ หากเจอเรื่องไม่ดีก็จะนึกถึงคำพูดนี้ นอกจากนี้ พี่เขาให้เราสอนหนังสือ ซึ่งเป็นเด็กสมาธิสั้น เขียนหนังสือได้แค่ชื่อตัวเอง เมื่อเจอน้องเขาก็เห็นว่า เขาแย่กว่าเรา ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น อยู่ได้สัก 1-2 สัปดาห์ก็เริ่มปรับตัวได้

“เมื่อออกมาได้สิ่งแรกที่ทำคือ โทรหาแม่ก่อน จากนั้นก็รีบกลับไปเยี่ยมพี่ชาย เพราะพี่ชายป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งเราสนิทกับพี่ชายมากแม้จะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่ก็สนิทกัน ก่อนที่จะเข้าไปในนั้น เขาเดินได้ ไม่ต้องนั่งรถเข็น ได้คุยกับหมอ หมอก็บอกว่าเขาสามารถอยู่ได้อีกนานหากว่ามีกำลังใจ แต่เมื่อออกมา เขาก็เดินไม่ได้แล้ว” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้องก้อยเริ่มเสียงสั่นเครือ....ก่อนจะกล่าวว่า เขาต้องนอนติดเตียง เท้าบวม เคยเขียนจดหมายออกมา เขาทราบว่าเราลำบาก เขาก็เลยตรอมใจ ไม่กินข้าว ไม่กินยา หนูเคยคุยกับหมอว่า หากเขากินยา มีกำลังใจ เขาสามารถอยู่ได้จนแก่เฒ่า แต่มาเจอเหตุการณ์นี้ ทำให้พี่เขาทรุดหนักกระทั่งเสียชีวิต ซึ่งนี่คือเรื่องที่หนูเสียใจที่สุดในชีวิต ส่วนน้องๆ คนอื่น อีก 2 คน คนเล็กก็เรียน” หญิงสาววัย 19 ปี กล่าวทิ้งท้าย

ในตอนหน้า ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ อยากจะเชื้อเชิญผู้อ่านมาฟังข้อมูลอีกด้านจากเจ้าทุกข์ในคดีลักทรัพย์ และ ทางฝั่งเจ้าหน้าที่ ที่ยอมให้สัมภาษณ์ถึงข้อสงสัยต่างๆ แบบหมดเปลือก เช่น รวยจริงหรือไม่ เงินมากมายมาจากไหน เธอแจ้งความจับแม่บ้านข้อหาลักทรัพย์มาแล้วกี่ครั้ง ในตอนหน้าจะได้คำตอบทั้งหมด.