ที่ปกป้องคนทำผิด เจ้าตัวย้ายขึ้นเหนือ
ยังต้องใช้เวลา อธิบดีกรมป่าไม้ สั่ง 10 วันรู้ผลใครผิดคดีข้าราชการสาวนักวิชาการป่าไม้ถูกคุกคามทางเพศ หัวหน้างานโดนด้วยฐานปกป้องผู้กระทำผิด ระบุ “บิ๊กเต่า” พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ ให้ออกกฎใหม่ห้ามผู้หญิงเข้าป่าคนเดียวให้ไปเป็นคู่ หากไม่มีเหตุจำเป็นให้พักโรงแรม ขณะที่ชาวป่าไม้เดือดทนไม่ได้รุ่นน้องถูกรังแกเรียกร้องให้สั่งสอนด้วยวิธีพิเศษ ส่วนข้าราชการสาวขอย้ายไปทำงานภาคเหนือแล้ว ด้านองค์กรสตรีแฉหน่วยงานรัฐคุกคามทางเพศเพียบ
กรณีข้าราชการหญิงกรมป่าไม้ กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ สังกัดสำนักวิจัยและพัฒนา การป่าไม้ ถูกคุกคามทางเพศจากพนักงานราชการที่เป็นพนักงานขับรถระหว่างปฏิบัติราชการที่ต่างจังหวัด แต่ถูกต้นสังกัดสั่งให้รูดซิปปาก ห้ามแจ้งความเพราะเกรงจะทำให้องค์กรเสียชื่อเสียง จนเพื่อนข้าราชการ ทราบเรื่องนี้กลับทนไม่ไหว ส่งต่อข้อความผ่านสื่อออนไลน์เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จนนายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ รับปากจะตั้งกรรมสอบข้อเท็จจริงนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ที่กรมป่าไม้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังข่าวดังกล่าวเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ปรากฏว่าตลอดวันเจ้าหน้าที่ในกรมป่าไม้มีการจับกลุ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ถึงข่าวดังกล่าวอย่างกว้างขวาง พร้อมตำหนิพนักงานขับรถที่ก่อเหตุ และหัวหน้างานของข้าราชการผู้หญิงที่ถูกคุกคามทางเพศด้วยถ้อยคำรุนแรงที่ไม่ปกป้องรุ่นน้องที่จบจากคณะและสถาบันการศึกษาเดียวกัน ขณะที่ส่วนหนึ่งก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรียกร้องความเป็นธรรม ความถูกต้อง รวมทั้งให้ลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้กระทำผิด ขณะที่บางส่วนมีการแชร์ข้อความถึง พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ว่าไม่อยากให้เรื่องนี้เงียบไปเฉยๆ โดยปล่อยให้คนกระทำผิดลอยหน้าลอยตาในสังคม นอกจากนี้ ยังมีบางส่วนเรียกร้องขอให้จัดการสั่งสอนด้วยวิธีการพิเศษ เป็นต้น
...
สำหรับข้าราชการผู้หญิงที่ถูกคุกคามทางเพศ ยังคงมาทำงานปกติ แต่มีสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด โดยเพื่อนร่วมงานเข้าไปพูดคุยพร้อมให้กำลังใจ แต่ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มข้าราชการยังมีการแชร์ข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ถามถึงสาเหตุที่หัวหน้างานของข้าราชการผู้หญิงที่ถูกรังแก ออกมาปกป้องพนักงานขับรถ ส่วนข้าราชการผู้หญิงที่ถูกรังแกนั้น มีชีวิตน่าสงสารอาศัยอยู่กับพ่อ ส่วนแม่เสียชีวิตไปแล้ว
ทั้งนี้ นายชลธิศให้สัมภาษณ์ว่า ได้ตั้งคณะกรรมการ สอบแล้ว เป็นผู้หญิงทั้งหมด ระดับผู้อำนวยการ สำนัก นิติกร รวมทั้งจากสำนักวิจัยฯเพื่อไม่ให้ผู้เสียหายเกิดความกระอักกระอ่วนใจ นอกจากนี้ พล.อ.สุรศักดิ์มีคำสั่งโดยตรงมาว่า ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง และต้องหาทางป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้วางมาตรการป้องกันความปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่ ผู้หญิงเมื่อต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด โดยขณะนี้ ให้ฝ่ายบริหารร่างระเบียบใหม่ ว่าด้วยการไปปฏิบัติงานนอกสถานที่สำหรับเจ้าหน้าที่ผู้หญิง เช่น ห้ามไปคนเดียว ให้ไปเป็นคู่ หากไม่มีเหตุอื่นใดจำเป็น ให้พักโรงแรมเป็นหลัก แม้จะอยู่ไกลจากสถานที่ปฏิบัติงานก็ต้องยอม โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
เมื่อถามว่า ขณะนี้พนักงานราชการที่ก่อเหตุยังมาปฏิบัติงานหรือไม่ นายชลธิศกล่าวว่า ยังมาทำงานตามปกติ จนกว่าคณะกรรมการจะมีผลการสอบสวนออกมา ซึ่งไม่เกิน 10 วัน ผลการสอบต้องเสร็จ และหากผลออกมาว่าผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมเป็นภัยต่อสังคม ก็จะให้หยุดทำงาน และลงโทษทางวินัยทันที ร้ายแรงคือไล่ออกจากราชการ สำหรับข้าราชการหญิงที่ถูกคุกคาม ได้ขอย้ายตัวเองไปภาคเหนือ ส่วนหัวหน้างานของข้าราชการหญิงก็ถูกตั้งกรรมการสอบสวนด้วยเช่นกัน ฐานปกป้องผู้ทำผิด ว่ามีเหตุอะไร มีเจตนาอะไร ทำไมถึงต้องปกปิดข้อมูล
ด้านความเห็นขององค์กรสิทธิสตรี น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม กล่าวว่า จากการเข้าไปช่วยทำงานในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ดูแลเรื่องการคุกคามทางเพศพบว่า หน่วยงานราชการส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหน่วยงานเกี่ยวกับการปกครอง หน่วยงานท้องถิ่น รวมทั้งส่วนราชการต่างๆ มีการคุกคามทางเพศค่อนข้างมาก พฤติกรรมที่พบคือ ไปทำงานข้างนอกแล้วหลอกพาเข้าโรงแรมโดยผู้หญิงไม่ทันระวังตัว ไปประชุมสัมมนาต่างจังหวัดต้องค้างคืน ชวนไปกินข้าว เป็นต้น และปัญหาที่พบคือ หน่วยงานมักจะปกปิดและทำให้เรื่องจบ เนื่องจากการคุกคามทางเพศในหน่วยงานราชการมีเรื่องของตำแหน่ง เงินเดือน การกลั่นแกล้งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผู้หญิงที่ถูกคุกคามก็กลัวจะถูกไล่ออก กลัวหัวหน้างาน ซึ่งหลายกรณีไปมีความสัมพันธ์กับผู้กระทำการคุกคาม ทางเพศด้วย เรื่องนี้ผู้รับผิดชอบต้องปกป้องลูกน้อง ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรมป่าไม้ อธิบดีต้องเด็ดขาด โดยเฉพาะการลงโทษผู้กระทำผิด รวมทั้งหัวหน้างานที่ไม่ปกป้องข้าราชการหญิงที่เสียหาย