ตะลุยเปิดบ้านเซเลบฯ สุดเว่อร์วังอลังการมาแล้วมากมาย มาคราวนี้ ไฮโซทาวน์ พาไปบุกบ้านสาวสวยที่ดูภายนอกแสนจะธรรมดากันบ้าง ทว่าความจริงเธอรวยเว่อร์อย่าบอกใคร ไม่ว่าจะจับธุรกิจอะไรก็ขึ้นเป็นเงินเป็นทองไปซะหมด แถมที่สำคัญยังมีดีกรีเป็นถึงตำรวจหญิงยศพันตำรวจโท และมีอาชีพหลักเป็นอาจารย์สอนวิชาทั่วไปที่กองบัญชาการศึกษา
หากใครยังทายไม่ออกว่าเธอคนนั้นเป็นใคร เราขอพรีเซ็นต์เธอเลยแล้วกัน กับ 'พ.ต.ท.โมน่า-อชิตา ตาครู' สาวสวยยิ้มหวานที่มีบุคลิกนิ่งๆ แต่เฟรนด์ลี่สุดๆ เมื่อได้อยู่ใกล้!
หลายคนอาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอเท่าไหร่นัก เพราะเธอไม่เคยออกสื่อ หรือไปตามอีเวนต์ต่างๆ เลย แม้จะถูกรับเชิญก็ตาม อย่างไรก็ดี ในวันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่เธอตอบรับคำเชิญของเรา อนุญาตให้ ไฮโซทาวน์ มาเปิดบ้านสุดหรู และพาตะลุยทุกมุมบ้านแบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นที่แรก! ซึ่งแน่นอนเราก็ไม่พลาดล้วงถามเรื่องธุรกิจระดับไฮเอนด์ทั้งหมดกว่า 5-6 ธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ชีวิตส่วนตัว รวมไปถึงอินสไปร์การตกแต่งบ้านสไตล์คลาสสิก มาให้ได้ฟังกัน...

...
คุณเชื่อหรือไม่ว่า เพียงแค่เราเห็นหน้าบ้านก็ร้องว้าวออกมาโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว เราค่อยๆ มองรอบๆ จากชั้นที่เป็นบริเวณลานจอดรถแหงนมองขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ทั้งหมดราวกับเป็นคอนโดขนาดกว้างก็ไม่ปาน เพียงแต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นบ้านส่วนตัวของครอบครัวโมน่า ซึ่งแต่ละชั้นถูกแบ่งเป็นบ้านของแต่ละคน โดยชั้น 2 เป็นบ้านของคุณพ่อคุณแม่ ชั้น 3 เป็นของ 'แดนนี่' น้องชาย(คนที่สอง)
ชั้น 4 เป็นของ 'ตีน่า' น้องสาว(คนที่สาม) ชั้นที่ 5 เป็นของโมน่า(ลูกคนโต) และชั้นที่ 6 ชั้นสุดท้ายเป็นของ 'นิกกี้' น้องชายคนเล็กสุด(คนที่สี่) ทำให้เสมือนมีหลายครอบครัวอยู่ในพื้นที่บ้านหลังเดียวกัน
เราเดินไปยังลิฟต์อย่างระมัดระวังก่อนจะกดขึ้นไปยังชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นที่ครอบครัวโมน่าอาศัยอยู่ และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เราก็เห็น 'โมน่า' สาวร่างเล็กหน้าตาสะสวยยืนออกมา พร้อมเปิดประตูบานใหญ่รอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว เราเดินเล่นคุยกันไปพลางสายตาก็สำรวจทุกโซนในบ้านไปเรื่อยๆ ต้องบอกเลยว่าบ้านหลังนี้ตกแต่งได้น่าสนใจจริงๆ
โดยเฉพาะการนำเฟอร์นิเจอร์โบราณต่างๆ จากฝั่งยุโรปมาผสมผสานกับพร็อพตกแต่งฝั่งตะวันออกจนดูเข้ากันอย่างลงตัว

หลังจากเดินไปเดินมา-คุยกันอยู่สักพักหนึ่ง เพื่อทำความรู้จักให้มากขึ้นแก้อาการเคอะเขิน เราก็พาโมน่ามาหย่อนก้นนั่งบนโซฟานุ่มๆ ณ ห้องรับแขก พร้อมเปิดประเด็นคำถามเกี่ยวกับธุรกิจที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วบ้านของเธอทำอะไรกันแน่…

พาร์ท 1 : เปิดธุรกิจระดับไฮเอนด์
Q : กว่าจะรวยระดับนี้มีที่มาที่ไปยังไงบ้าง ตอนนี้จับอยู่กี่ธุรกิจด้วยกัน
ต้องบอกก่อนว่า เราไม่ได้รวยอะไรขนาดนั้น และกว่าที่จะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตอนนี้ที่บ้านมีธุรกิจประมาณ 6-7 อย่าง พี่น้องรวมถึงเราก็ช่วยกันทำช่วยกันบริหาร แบ่งๆ กันว่าใครถนัดดูแลส่วนไหน เพราะคุณพ่อไม่ให้ใครออกไปทำงานข้างนอกเลย ย้อนกลับไปก่อนที่บ้านเราจะมีธุรกิจเยอะขนาดนี้ คุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่จนมากมาก่อน เริ่มตั้งแต่ศูนย์ไม่มีอะไรเลย
เริ่มทุกอย่างจากการทำธุรกิจส่งออก-นำเข้าเสื้อผ้า แล้วก็ขยายเป็นเครื่องหนัง รองเท้า กระเป๋า ทำเป็นเหมือน Trading Agent จับลูกค้าชนกับโรงงาน แล้วเราก็ได้ค่าคอมมิชชั่น ซึ่งหลังๆ คุณพ่อก็เริ่มดีไซน์เอง (แต่ไม่ติดแบรนด์) แล้วก็ส่งขายให้ลูกค้าที่ต่างประเทศด้วย ลูกค้าที่เขาชอบดีไซน์ก็จะซื้อแล้วไปติดแบรนด์ของเขาอีกทีหนึ่ง ตลาดส่วนใหญ่ของเราจะอยู่ที่เมืองนอกนะ อย่างเช่น ตะวันออกกลาง อาหรับ ดูไบ และปานามา
...
พอเริ่มทำตรงนี้ได้สักพัก คุณพ่อก็เริ่มก้าวเข้ามาเล่นอสังหาริมทรัพย์ ถามว่าเงินตอนนั้นหนักหนาไหมก็คงพอสมควร เพราะเราก็มีเงินหมุนอยู่ตลอดๆ ทีนี้คุณพ่อก็เริ่มกว้านซื้อที่ แต่ยังไม่ได้คิด หรือมีแพลนว่าจะทำอะไรนะ เหตุผลหนึ่งที่คุณพ่อลงมาเล่นธุรกิจอสังหาฯ เป็นเพราะเขามองว่าธุรกิจนำเข้า-ส่งออก มันไม่จีรัง และการแข่งขันเริ่มสูงขึ้น คือ คุณพ่อเราเป็นคนอินเดียที่สามารถพูดได้ทั้งอังกฤษ และไทย ซึ่งสมัยก่อนเจ้าของโรงงานเป็นพวกคนจีนที่พูดอังกฤษไม่ได้
ฉะนั้นก็ต้องใช้ Trading Agent นี่แหละเป็นตัวกลางในการสื่อสาร แต่พอหลังๆ ยุคสมัยมันเปลี่ยน เมื่อพวกเขามีลูกหลานก็จะส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกจนเก่งภาษา นั่นเลยทำให้ความต้องการของ Trading Agent ลดลง และเป็นตัวจุดชนวนให้ตลาดเริ่มมีการแข่งขันสูงขึ้น คุณพ่อก็เลยตัดสินใจอยากจะเปลี่ยนช่องทางทำเงิน

คุณพ่อซื้อที่มาเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีแพลนว่าจะทำอะไรดี จนไปเจอเพื่อนคนหนึ่งก็ได้แนะนำให้ลองเล่นตลาดคอนโด หรืออพาร์ตเมนต์ให้เปิดเช่า นั่นก็เลยเหมือนจุดไอเดียให้คุณพ่อเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาฯ เต็มตัว โดยเริ่มจากสร้างคอนโดระดับไฮเอนด์ในสมัยนั้น ห้องหนึ่งก็ตกประมาณ 70,000-80,000 บาท
...
เราไม่ได้ทำห้องเป็นไซส์สตูเล็กๆ เหมือนปัจจุบันนะ เราทำอยู่ที่ 360-450 ตารางเมตร ความกว้างเทียบเท่าบ้านที่เราอยู่ตอนนี้เลยก็ได้ ลูกค้าของเราที่เข้ามาพักก็จะเป็นทูต หรือคนที่มาทำงานที่นี่แล้วย้ายทั้งครอบครัวมาด้วย โดยมีบริษัทซัพพอร์ตเงินตรงนี้ให้ คือคนพวกนี้เขาเงินถึงอยู่แล้วตอนนั้นเราสร้างอยู่ประมาณ 6 ตึกให้เช่า ค่อยๆ ทยอยสร้างไปเรื่อยๆ แต่อยู่ในพื้นที่ของสุขุมวิททั้งหมด
ทีนี้พอทำไปทำมามันก็เกิดเศรษฐกิจต้มยำกุ้งขึ้น แล้วคุณพ่อต้องไปผ่าตัดหัวใจ มันก็เลยเหมือนเป็นช่วงขาลงของธุรกิจบ้านเราเลยก็ได้ ธุรกิจตอนนั้นที่ถืออยู่ล้มหมด และตอนนั้นเราก็ยังเด็กกันมากๆ อยู่มหา'ลัย ทำธุรกิจบริหารอะไรก็ยังไม่เป็น ซ้ำร้ายยังติดหนี้ธนาคาร เพราะคุณพ่อได้กู้ธนาคารส่วนหนึ่งมาทำธุรกิจอสังหาฯ ด้วย คือมันถือเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิตของครอบครัวเลยก็ว่าได้ เราประกาศขายโครงการทั้งหมดที่เรามีมา 10 กว่าปี แต่ทว่าไม่มีคนซื้อ-ไม่มีคนสนใจเลย เพราะเศรษฐกิจมันแย่
จนเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว 'สาธิต วิทยากร' ที่คุณพ่อ (นพ.พงษ์ศักดิ์ วิทยากร) เป็นหุ้นส่วนใหญ่โรงพยาบาลกรุงเทพ เขาก็ตัดสินใจขายหุ้นโรงพยาบาลกรุงเทพทิ้ง และมาซื้อตึกเราทั้งโครงการทั้งหมด 1,600 ล้านบาท มันก็เลยทำให้ครอบครัวของเราได้เริ่มต้นอีกครั้ง ใช้หนี้ธนาคาร และนำเงินเปลี่ยนมาเล่นธุรกิจโรงแรมทันที ซึ่งตอนนี้โรงแรมก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจครอบครัวที่ทำมา 2 ปีแล้ว

...
Q : ทำไมถึงกล้าเสี่ยงที่จะเล่นธุรกิจโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมที่เราทำนี้ไม่ได้ไฮเอนด์ 4-5 ดาวขนาดนั้นนะ เป็นโรงแรมแบบปานกลาง (Scale เล็ก) เพราะเราจะหันมาเล่นกับตลาดล่าง ตลาดเล็กๆ ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายกว่าแทน เพราะเหมือนเรามีบทเรียนได้เรียนรู้แล้วว่า เมื่อก่อนเราเล่นตลาดไฮเอนด์ พอเศรษฐกิจไม่ดี มันก็พลอยทำให้เราจับลูกค้าไม่ได้ ตลาดไฮเอนด์มันจับได้แค่เฉพาะกลุ่มที่มีเงินถึง-สามารถจ่ายได้ไม่อั้นเท่านั้น ตอนนั้นตึกเรามีทั้งหมด 100 กว่ายูนิต ยูนิตหนึ่งก็ 450 ตารางเมตร เล็กสุดก็ 250 ตารางเมตร นั่นหมายถึงยังไงก็ต้องเป็นครอบครัวใหญ่ที่เข้ามาอยู่
แถมเรายังโดนแข่งขันจากแสนสิริที่สร้างคอนโด Scale เล็กกว่า และลูกค้าสามารถเข้าถึงราคาได้ง่ายกว่า เราก็เลยไม่ไหว ฉะนั้นพอได้เริ่มใหม่ก็เลยตัดสินใจว่า เล่นกับตลาดล่างๆ ที่ไม่ต้องแพง และคนเข้าถึงได้ง่าย มันน่าจะดีกว่า
เราเริ่มจากการไปเทกโอเวอร์ตึกเล็กๆ แล้วคอนเวิร์สให้มันเป็นโรงแรม ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 3 ที่ด้วยกัน ที่ที่ 3 กำลังสร้างอยู่ ว่าจะตั้งชื่อว่า 'THA Boutique hotel' ส่วนอีก 2 ที่ มีชื่อว่า 'THA City loft hotel' และ 'THEE Boutique hotel' ล่าสุดคุณพ่อก็มีแพลนจะไปเทกโอเวอร์อีกที่หนึ่งอยู่เชียงใหม่ แต่ขอยังไม่บอกชื่อนะ เพราะตอนนี้เจ้าของยังไม่โอเคกับราคาของเรา

Q : เข็ดเลยไหมกับการทำธุรกิจระดับไฮเอนด์
ก็ไม่ถึงกับขนาดนั้นนะ เพียงแต่เรามองว่าเล่นกับตลาดล่างๆ มันดีกว่า ดียังไง 1. ทุนที่ใช้น้อยกว่า 2. ลูกค้าเข้าถึงราคาได้มากกว่า 3. เราไม่ต้องเหนื่อยที่ไปเทกแคร์เขามาก เวลาที่เราทำกับตลาดแพงๆ เราจะต้องดูแลเขาเยอะ เพราะทางเขาก็คาดหวังกับเราเยอะพอสมควรว่าเราจะมีบริการโน่นนี่นั่น ฉะนั้นพอเรามาทำกับตลาดกลางๆ เขาก็จะไม่คิดอะไรมาก เพราะคืนๆ หนึ่งก็ประมาณ 1,000-2,000 กว่าบาท เขาไม่ต้องการบริการอะไรที่ดีมาก แต่ดีในระดับหนึ่ง มันก็เลยทำให้เราสบายกว่า กดดันน้อยกว่า และเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายกว่า ซึ่งโดยรวมแล้วมันเป็นอะไรที่ดีนะ เราโอเคกับจุดๆ นี้แล้ว
Q : นอกจากธุรกิจโรงแรม ที่บ้านยังมีจับธุรกิจอื่นอะไรอีกบ้าง
นอกจากธุรกิจโรงแรมที่เป็นหลักๆ ในส่วนธุรกิจที่บ้านก็จะมีนำเข้าแบรนด์อุปกรณ์ประตูจากอเมริกา ชื่อ Weslock, แบรนด์ไฟ เฟอร์นิเจอร์ พร็อพแต่งบ้านนำเข้า ชื่อ Light Loft, แล้วก็มีปล่อยคอนโดให้เช่า ซึ่งตอนนี้กำลังสร้างอยู่อีก 1 ตึกที่เอกมัย ซอย 10, แล้วก็กำลังทำที่พักแนว Hostel ที่ชะอำ ไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่ม หรือพนักงานที่มาจัดสัมมนา เอาต์ติ้งกัน เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่เกิน 50 คน และก็บริษัทนำเข้า-ส่งออกสินค้า อันนี้ยังคงทำอยู่นะ เพียงแต่ลดตลาดลงมาเหลือแค่ที่ฮ่องกง และกว่างโจว ประเทศจีน
ส่วนถ้าเป็นงาน หรือธุรกิจของเราเอง ตอนนี้เราก็เป็นอาจารย์สอนวิชาทั่วไปอยู่ที่กองบัญชาการศึกษา มีสอนทุกวัน จ.-ศ. เลย แล้วก็มีรับงานแปลภาษา และตอนนี้ก็ร่วมหุ้นเปิดร้านเบเกอรี่กับเพื่อน ชื่อว่า Lapin Vanille (IG : lapin_vanille) มีขายอยู่ที่เอ็มควอเทียร์ ซึ่งเร็วๆ นี้ จะขยายสาขาไปเปิดแถวพระราม 9-RCA ในห้างที่กำลังจะเปิดใหม่ชื่อ SHOW DC (โชว์ ดีซี) และคราวนี้เราคิดว่าจะไปลงร้านกาแฟเล็กๆ ที่นั่นด้วย

Q : จับพลัดจับผลูมารับราชการได้ยังไง มีความสนใจอยู่แล้วรึเปล่า
โหหหห…ไม่เลย (หัวเราะร่า) ไม่ได้อยาก หรือสนใจจะเป็นเลยตั้งแต่แรก แต่เพราะคุณแม่อยากให้คนหนึ่งในบ้านรับราชการ ซึ่งน้องๆ ไม่มีใครยอมเป็นเลย มีแต่เราที่ยอมอยู่คนเดียว และเราเป็นพี่คนโตด้วย ทีนี้คุณแม่คงเหมือนเห็นแวว ดูลักษณะท่าทางว่าเราน่าจะเป็นตำรวจได้ดีที่สุด เพราะน้องคนอื่นค่อนข้างดื้อ คงไม่ฟังใครแน่ๆ ก็เลยอยากให้เราไปลองสอบตำรวจดู แล้วก็ได้
ส่วนน้องๆ จบมาก็มาทำธุรกิจที่บ้าน จะบอกอีกอย่างว่าคุณพ่อเป็นคนหวง และก็ติดลูกๆ มากนะ ไม่ยอมให้ใครห่างจากสายตาเลย ไม่ว่าจะเรียนจบอะไรมาก็ต้องมาทำธุรกิจที่บ้าน มีเพียงแต่เราคนเดียวที่ออกไปทำงานนอกบ้านได้ เพราะเรารับราชการ ทว่าเราก็จับธุรกิจที่บ้านด้วยนะ
Q : โมน่ากับน้องๆ แบ่งหน้าที่ดูแลธุรกิจยังไงบ้าง
เราจะบอกว่าแต่ละคนมีสกิลคนละแบบนะ อย่างเราจะถนัดทางด้านดีไซน์และมาร์เก็ตติ้ง น้องชายคนที่ 2 เรียนจบวิศวกรรม จุฬาฯ ฉะนั้นเขาจะเก่งเรื่องสร้างคอนโด สร้างโรงแรม หรือดูอะไรที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง การหาวัสดุใหม่ อันนี้เขาจะจัดการควบคุมทุกอย่างหมด ส่วนน้องสาวคนที่ 3 จะเก่งกฎหมาย เพราะเขาเรียนจบนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เขาก็จะดูเรื่องสัญญา การทำธุรกรรมอะไรต่างๆ ดูเรื่องกฎหมายทั้งหมด จะคอยดูแลผลประโยชน์ของที่บ้าน และน้องคนเล็กสุดจบวิทยาการคอมพิวเตอร์ ธรรมศาสตร์ คนนี้จะดูแล Serviced Apartment ทุกที่ และร่วมมือกับเราดูแลทางด้านคอนเซปต์ของโรงแรม เพราะเขาก็ชอบทางด้านดีไซน์เหมือนกัน และจะชอบคิดอะไรที่มันแปลกๆ นอกกรอบตลอด

พาร์ท 2 : พ่อ...แบบอย่างในการทำธุรกิจ
Q : คุณพ่อคุณแม่ได้สอนเรื่องธุรกิจยังไงบ้าง
ไม่ได้สอนอะไรนะ แต่เหมือนเราซึมซับ-เรียนรู้ไปกับมันตั้งแต่เด็กๆ เอง เวลาคุณพ่อไปทำธุรกิจที่ไหนก็จะหิ้วเราไปด้วยทุกที่ มันก็เลยทำให้เราได้เรียนรู้อะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอน กระบวนการวิธี ตลอดจนการเจรจางานต่างๆ เราอยู่กับคุณพ่อตลอดทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนสอนคนไม่ได้ ด้วยความที่เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ทว่าความใจร้อนของเขานี่แหละ มันเป็นข้อดีที่ทำให้เขาตัดสินใจทำอะไรเร็วกว่าคนอื่น ก้าวเร็วกว่าคนอื่น
ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่เราเห็นคุณพ่อทำงานอย่างหนัก สิ่งที่เราเรียนรู้จากเขา และเอาแบบอย่างตรงนั้นมาทำตามก็คือ คุณพ่อเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรทั้งนั้น อดทนมากๆ ล้มแล้วเริ่มใหม่ตลอด นั่นมันก็เลยส่งผลให้พอเรา 4 คนโตขึ้นมาต้องทำงานหนักมากเหมือนกัน และเวลาเกิดปัญหาต่างๆ เราจะรู้สึกว่ามันต้องมีทางออกเสมอ ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ เราจะต้องทำให้มันสุดๆ ให้มันเกิดขึ้นให้ได้ ที่สำคัญเรื่องของความรับผิดชอบ คุณพ่อไม่เคยสอนแต่จะทำให้เราเห็น สิ่งไหนที่คุณพ่อรับปากแล้วจะต้องทำให้ได้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม
ส่วนคุณแม่ ข้อดีคือเขาเป็นคนที่พูดเก่งมาก ชอบคบหาคน เป็นคนเฟรนด์ลี่ มันก็เลยทำให้คุณแม่มีคอนเนกชั่นค่อนข้างเยอะ ดึงลูกค้าได้ง่าย แล้วคุณแม่จะคอยแนะนำให้เรากับน้องๆ รู้จักคนโน้นคนนี้ เป็นการเซฟคอนเนกชั่นไว้เพื่อให้เราทำธุรกิจอยู่ในไทยได้ในวงกว้าง ยิ่งรู้จักคนเยอะ คนก็จะยิ่งพีอาร์ธุรกิจ หรือแบรนด์ของเรา


Q : การเป็นพี่คนโตของครอบครัวกดดันมากน้อยแค่ไหนว่าทุกอย่างต้องออกมาดี
จริงๆ คุณพ่อคุณแม่ไม่ฟิก ไม่กดดันอะไรเลยนะ แถมน้องทั้ง 3 คนยังเก่งกันมาก เก่งกว่าเราซะอีกในเรื่องทำงาน ฉะนั้นมันเลยไม่มีอะไรต้องมากดดันเรา ทุกอย่าง-ทุกคนมันลงตัวหมดเลย บางทีน้องๆ ยังทำหน้าที่แทนเราเกือบหมดทุกอย่างด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าเราต้องทำงานนอกบ้าน คือเราเป็นตำรวจ ความรับผิดชอบเราน้อยกว่าน้องๆ คนอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นมันไม่มีความกดดันอะไรเลย เรารู้สึกแฮปปี้มากที่ได้เกิดในบ้านนี้ น้องทุกคนไม่มีใครเกี่ยงงาน ทำงานกันทุกคน มันเลยทำให้เรารู้สึกว่ามีคนมารองรับทุกอย่างแทนเรา แต่ละคนมาเติมเต็มกันและกันอยู่แล้ว