ญาติ นศ.อาชีวะ วัย 19 ปี ถูกตำรวจ จ.ฉะเชิงเทรา อุ้มหายไร้ร่องรอย เคยยื่นกระทรวงยุติธรรม สตช.และดีเอสไอ ผ่านมาเกือบ 4 เดือน แต่เรื่องไม่คืบ ตัดสินใจเดินทางยื่นหนังสือถึงผู้การฯ กองปราบ หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ...
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 ก.พ. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายเผชิญ ศรีคะโชติ พร้อมครอบครัว เดินทางมายื่นหนังสือต่อผู้บังคับการกองปราบปรามให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดมารับทำคดีดังกล่าวแทน พงส.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เนื่องจากคดีไม่มีความคืบหน้าและไม่ยอมนำหลักฐานทางคดีไปประกอบสำนวน จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จากกรณีที่นายณัฐพงศ์ หรืออาร์ม ศรีคะโชติ อายุ 19 ปี ที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน อ้างตัวเป็นตำรวจ ปส.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา บุกเข้ามาจับกุมไปจากที่พัก บ้านเลขที่ 77/7 ม.1 ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา โดยไม่ยอมบอกว่าผิดเรื่องใด ก่อนที่นายณัฐพงศ์จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตั้งแต่เวลา 14.00 น. วันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา
ภายหลังญาติเข้าแจ้งความจนมาสู่การออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้แล้ว 3 ราย คือ ร.ต.ท.รังษิต จรหวัง อายุ 59 ปี ด.ต.อัตชัย คล้ายวงษ์ อายุ 49 ปี นายนันทวัฒน์ เชียงแก้ว และ นายโชคทวี แผ่นสุวรรณ ซึ่งนายตำรวจทั้ง 2 สังกัดชุดปฏิบัติการพิเศษ ภ.จ.ฉะเชิงเทรา ช่วยงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จ.ฉะเชิงเทรา ได้เข้ามอบตัวสู้คดีพร้อมให้การภาคเสธ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีวี่แววความคืบหน้าของคดี
...
นายเผชิญ กล่าวว่า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา มีชาย 4 คน มาที่บ้านพัก บ้านเลขที่ 77/7 ม.1 ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา 1 ใน 4 คน ได้เดินเข้าไปในบ้าน โดยลักษณะเหมือนรู้ว่าห้องนายณัฐพงศ์ หรืออาร์ม ศรีคะโชติ อายุ 19 ปี อยู่ตรงไหน เมื่อพบได้ล็อกตัวต่อหน้าตนและย่า ระหว่างชุลมุน ย่าได้ร้องถามว่า “จะเอาไปไหน” ชายดังกล่าวตอบว่า “เป็นตำรวจเดี๋ยวค่อยคุยกัน” แล้วใส่กุญแจมือลูกชายตน จากนั้นดันตัวลูกชายเดินข้ามถนนมาขึ้นรถโตโยต้า สีบรอนซ์เงิน บริเวณหน้าร้านกาแฟ ขับออกไปทิศทาง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ หลังจากนั้นได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา แต่ร้อยเวรไม่รับแจ้ง บอกว่า “ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมงก่อน" ตนและครอบครัวจึงกลับบ้าน จนวันรุ่งขึ้น เวลา 11.00 น. วันที่ 5 ธ.ค. ได้เดินทางไปแจ้งความอีกครั้งที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา จนรับแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
นายเผชิญ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นจาก สภ.เมืองฉะเชิงเทรา นั้น ลูกชายถูกชายฉกรรจ์ 4 คน ไม่ทราบชื่ออุ้มขึ้นรถโดยไม่เต็มใจ แต่ทาง สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ไม่รับแจ้งความ แล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเลย บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ที่น่าสงสัย เจ้าหน้าที่ไม่ยอมเรียกมาสอบสวนตั้งแต่ต้น และปัจจุบันก็ยังหาตัวไม่พบ ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ได้รับการประกันตัวออกมา เกรงว่าตนและครอบครัวจะไม่ได้รับความปลอดภัยเท่าที่ควร
น.ส.นฤพัชร ศรีคะโชติ อายุ 37 ปี เป็นอาสาว กล่าวว่า วันนี้มาเรียกร้องขอให้โอนสำนวนคดี เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนได้ไปร้องเรียนหน่วยงานทางกระทรวงยุติธรรม สนง.ตำรวจแห่งชาติ และดีเอสไอ แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งนี้ยอมรับว่าครอบครัวเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากที่ผ่านมา ทางครอบครัวพยายามนำหลักฐานที่พบว่าเชื่อมโยงกับผู้ต้องสงสัย มีคนเห็นเหตุการณ์มากกว่า 4 คน แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่เรียกมาสอบ ครอบครัวก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เรียกมาสอบ คดีผ่านมาจะ 4 เดือนแล้ว ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งหลักฐานต่างๆ ทางครอบครัวก็ต้องเป็นคนไปรวบรวมเองทุกอย่าง โดยทาง สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ตำรวจบอกรอขึ้นศาลอย่างเดียวแค่นี้ ทางครอบครัวก็ไม่ทราบกระบวนการว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ทางครอบครัวแค่ต้องการให้หน่วยงานใดก็ได้ อธิบายให้พวกตนฟังได้ว่าตอนนี้อยู่ขั้นตอนไหน ต้องทำอะไรต่อ และความคืบหน้าในการติดตามตัวหลานเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งยืนยันว่าขณะนี้ทางตำรวจไม่ได้รายงานความคืบหน้าในการติดตามตัวหลานเลย แม้กระทั่ง สภ.เมืองฯ เองที่รับเรื่องไว้ แล้วบอกจะรายงานผลให้ภายใน 3 วัน แต่จนถึงทุกวันนี้ตนยังไม่ทราบเรื่องอะไรเลย
น.ส.นฤพัชร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทางพนักงานสอบสวนยังเลือกรับหลักฐานทางคดีเพิ่ม เช่นสัญญาณโทรศัพท์ที่เชื่อมโยงได้ว่าจากบุคคลที่ 1 ไปบุคคลที่ 2 ไปบุคคลที่ 3 จนถึงคนที่ 4 ที่พาตัวหลานไป จุดที่พบแสดงตั้งแต่บริเวณบ้านในเวลาอุ้มหลานไปจนถึงในตัวเมืองฉะเชิงเทรา แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาที่จับได้มีการประสานงานกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตำรวจ สภ.เมืองฯ ก็ไม่ได้แนบหลักฐานดังกล่าวเข้าไปในสำนวน ไม่ทราบเพราะอะไร โดยก่อนหน้านี้ตนนำหลักฐานบางอย่างมอบให้ทางดีเอสไอ ซึ่งได้ช่วยประสานไปยัง สภ.เมืองฯ ให้แนบเอกสารดังกล่าวไปกับสำนวน แต่พนักงานสอบสวนก็ยังไม่แนบ ปัจจุบันอยู่อย่างหวาดระแวง มักมีรถวนเวียนอยู่แถวหน้าบ้าน รวมถึงติดตามตัวตน เมื่อนำทะเบียนไปตรวจสอบก็พบเป็นทะเบียนปลอม
อย่างไรก็ตาม การยื่นหนังสื่อในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่กองปราบปราม ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ โดยหลังจากนี้จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามที่รับผิดชอบในเขตพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เร่งรัด ดำเนินการและตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนตำรวจกองปราบปราม จะรับโอนดำเนินคดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา.