กลายเป็นข่าวฮือฮาไปหลายวันทีเดียว สำหรับข่าวตุ๊กตาลูกเทพ เครื่องรางของขลังยอดนิยมล่าสุด ที่คนไทยบางกลุ่มนำไปเลี้ยง ด้วยความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งโชคลาภและความรุ่งเรืองต่างๆ

อันที่จริงพวกเราที่อยู่ในแวดวงข่าวได้ยินมานานพอสมควรว่าดารานักแสดงและไฮโซจำนวนหนึ่งหันมานิยมเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพ แต่ที่ยังไม่นำมาเขียนข่าว เพราะช่วงนั้นยังเป็นเพียงเรื่องเล่า ทำนองจากปากต่อปาก และมีไม่กี่ราย เราก็ฟังกันไว้แบบขำๆ

จนกระทั่งสายการบินไทยสมายล์ประกาศเป็นการภายใน ว่าจะให้ขายตั๋วที่นั่งสำหรับตุ๊กตาลูกเทพ ที่ผู้โดยสารอุ้มขึ้นเครื่องบินด้วยนั่นแหละ...กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาในบัดดล...จะไม่ใหญ่ได้ยังไงล่ะ เมื่อสายการบินในเครือสายการบินแห่งชาติจุดพลุขึ้นมาเช่นนี้

อีกวันต่อมารถทัวร์ก็ประกาศขายตั๋วอำนวยความสะดวกด้วยเช่นกัน เลยสนุกกันใหญ่ สื่อมวลชนทุกแขนงต่างนำเรื่องราวรายละเอียดต่างๆมาเปิดเผยเป็นชุดๆ รวมทั้งวัดวาอารามที่รับปลุกเสกตุ๊กตาด้วย

สนุกขึ้นมาอีกเมื่อนักข่าวสายการเมืองหยิบไปเป็นประเด็นถามนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีกหลายๆท่านได้คำตอบมาพาดหัวข่าวอีกวันสองวัน

ผู้ใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์ถูกใจผมที่สุด ก็คือท่านอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข คุณหมอ เจษฎา โชคดำรงสุข นั่นแหละครับ

ท่านบอกว่า โดยพื้นฐานจิตใจคนไทยส่วนมากมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่แล้ว อย่างสมัยก่อนก็มีการเลี้ยงกุมารทองกัน มายุคนี้เลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพ ถือเป็นการประยุกต์ไสยศาสตร์เข้ากับยุคดิจิตอลได้อย่างลงตัว

คุณหมอย้ำตอนหนึ่งว่า การเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพไม่ถือว่าเป็นผู้ที่มีความผิดปกติทางจิต...เพราะส่วนหนึ่งเลี้ยงตามกระแสสังคม อีกส่วนก็มาจากความเชื่อส่วนตัว หรืออาจจะมีบ้างที่เลี้ยงเพื่อต้องการที่พึ่งทางใจ

...

“ตามหลักจิตวิทยานั้นอธิบายได้...เราทุกคนยังต้องการแสวงหาในสิ่งที่จิตใจขาดอยู่ บางคนมีความไม่สบายใจอะไรบางอย่าง หรือรู้สึกว่าขาดอะไรสักอย่างในชีวิตจึงต้องหาบางสิ่งบางอย่างมายึดเหนี่ยวจิตใจ”

“จริงๆแล้วสิ่งยึดเหนี่ยวที่ดีที่สุดคือหลักศาสนา เพราะมีที่มาที่ไปชัดเจน” ท่านอธิบดีสรุปส่งท้าย

ที่ผมบอกว่าผมถูกใจคำสัมภาษณ์ของท่าน มีอยู่สองประเด็นครับ... ประเด็นแรกก็คือ การประยุกต์ไสยศาสตร์กับยุคดิจิตอลได้อย่างลงตัว ซึ่งผมเห็นด้วยทุกประการ

ต่อให้ประเทศไทยเราพัฒนาไปขนาดไหน การศึกษากระจายออกไปอย่างทั่วถึงเพียงไร หรือมีเทคโนโลยีใหม่ๆทันสมัยหลั่งไหลเข้ามาเพียงใด ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็ยังคงอยู่ในจิตใจของคนไทยจำนวนมาก

อีกประเด็นที่ผมชอบก็คือ ประเด็นที่ท่านอธิบดีบอกว่า คนเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพมิได้มีอาการผิดปกติทางจิต พร้อมกับยกเหตุผลต่างๆมาอธิบาย จนทำให้ผมคล้อยตามท่านในที่สุดว่า ผู้เลี้ยงคงไม่ผิดปกติทางจิตจริงๆ

แรกๆพวกผมในโรงพิมพ์ก็เถียงกันในประเด็นนี้แหละครับ ว่าคนเลี้ยงตุ๊กตาลูกเทพเป็นโรคจิตหรือเปล่า...ประเภทโรค “จิตอ่อน” ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ถูกโน้มน้าวได้ง่าย อ่อนไหวง่าย อะไรทำนองนั้น

ทำให้เราเป็นห่วงกันว่า ถ้าคนไทยเป็นโรคนี้มากๆ ที่เราหวังกันว่าประเทศไทยจะก้าวพ้นจากกับดักรายได้ประเทศปานกลางขั้นสูง ไปเป็นประเทศรายได้สูงกับเขาบ้างนั้น คงจะยากเสียแล้ว ไม่ถอยหลังกลับไปเป็นประเทศรายได้ต่ำ หรือประเทศด้อยพัฒนาอีกก็บุญเต็มที

เมื่อคุณหมอซึ่งเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ท่านยืนยันว่าคนไทยกลุ่มนี้มิได้เป็นโรคใดๆทั้งสิ้น...พวกผมจะได้สบายใจเลิกถกเถียง เลิกห่วงใย

มาคิดอีกทีก็ไม่ควรคิดอะไรมากนักอย่างที่คุณหมอท่านบอกไว้ เพราะขึ้นชื่อว่าไสยศาสตร์แล้ว จะเป็นของคู่กับคนไทยเสมอๆ ไม่ว่ายุคไหนๆ

ในช่วงเวลากว่า 40 ปี ที่ผมมานั่งเขียนข่าวเขียนคอลัมน์อยู่ตรงนี้ จำได้ว่ามีเรื่องความเชื่อ และของขลังที่คนไทยในแต่ละยุคเชื่อถือทยอยมาเป็นข่าวหน้า 1 มากมายพอสมควร

มีทั้งข่าว “ปลัดขิก” ของท่าน “อาจารย์ซ่วน ฉะเชิงเทรา” ที่ดารา รุ่นเก่าๆนิยมพกไว้ใต้สะเอวมาจนถึงยุค “จตุคามรามเทพ” แผ่นใหญ่เหมือนขนมบ้าบิ่น ที่คนไทยนิยมคล้องคอกันอยู่หลายปี ฯลฯ

เพราะฉะนั้น หากจะมี “ตุ๊กตาลูกเทพ” มาเป็นข่าวอย่างทุกวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่ประการใด...และถ้าเป็นไปตามแนวโน้มที่เคยเกิด...สักครู่หนึ่งก็จะค่อยๆหายไป รออีกพักค่อยมีของใหม่โผล่มาใหม่...แต่จะเป็นอะไรรอลุ้นเอาเองก็แล้วกันครับ!

“ซูม”