ผ่าอำนาจพิเศษในสถานการณ์ “ศรัทธา”ระส่ำ

ย่างเข้าสู่เดือนสุดท้ายปลายปี

โดยธรรมชาติของเมืองไทย บรรยากาศในเดือน ธันวาคมจะเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายมากที่สุดในรอบ 12 เดือน เนื่องจากเต็มไปด้วยวันหยุดและการเฉลิมฉลอง

เรียกได้ว่าเข้าสู่เทศกาลแห่งความสุขของคนไทย

ไล่กันตั้งแต่วันมหามงคล 5 ธันวามหาราช ห้วงเวลาแห่งความปลื้มปีติของประชาชนทั้งชาติ ที่จะได้โอกาสแสดงความจงรักภักดีต่อพ่อของแผ่นดิน

ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมมือร่วมใจกันจัดงานถวายพระพร

ประดับประดาไฟตามถนนหนทาง สถานที่ราชการ ตลอดจนบ้านเรือน แสง สี ตระการตา

สว่างไสวไปทั่วเมืองไทย

ที่ขาดไม่ได้ก็คือการแสดงพลังความสามัคคี สร้าง ความดีถวายในหลวง อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. นำคณะรัฐมนตรี ผู้นำ

เหล่าทัพ ข้าราชการ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

สัญญาไม่โกง ไม่คอร์รัปชัน

ทุกภาคส่วนพร้อมร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามในโอกาสสำคัญ

ยิ่งเป็นอะไรที่พิเศษสำหรับปีนี้ รัฐบาลมีการจัดกิจกรรม “Bike For Dad” โครงการ “ปั่นเพื่อพ่อ” ในวันที่ 11 ธันวาคม โดยการเปิดให้พสกนิกรได้ร่วมขบวนปั่นจักรยานในเส้นทางมหามงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา

โดยที่คนไทยทั่วประเทศรวมถึงต่างประเทศ สมัครเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

บรรยากาศก็ยิ่งคึกคัก อบอวลไปด้วยความจงรักภักดี

...

ขณะที่อีกงานสำคัญ กำหนดการพระราชพิธีพระราช ทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15–17 ธันวาคม 2558 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

พิธีการที่ยิ่งใหญ่สำหรับพุทธศาสนิกชนไทย

ตามกำหนดการมีการจัดริ้วขบวนพระอิสริยยศตามเส้นทางจากวัดบวรนิเวศวิหารไปถึงวัดเทพศิรินทราวาส โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ทหาร ตำรวจ ผู้แทนหน่วยงาน รวมถึงคณะศิษยานุศิษย์ ร่วมริ้วขบวนครั้งสำคัญจำนวนกว่า 1,400 คน

พร้อมกับมีการจัดให้ประชาชนทั่วไปได้ถวายดอกไม้จันทน์ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครที่วัดบวรนิเวศวิหารและวัดเทพศิรินทราวาส และวัดต่างๆในพื้นที่สำนักงานเขต 46 เขต ขณะที่ในส่วนภูมิภาคได้จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในทุกจังหวัดและอำเภอ

เปิดให้มีการแสดงความเคารพถวายความอาลัยประมุขแห่งศาสนจักร

ตามบรรยากาศต้องพักงานรื่นเริงไปชั่วขณะ

โดยจังหวะก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงวันหยุดยาวเพื่อเตรียมฉลองวันคริสต์มาส ตลอดไปจนถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในวันที่ 31 ธันวาคม

โปรแกรมงานยาวตลอดทั้งเดือนธันวาคม

ทั้งห้วงพิธีสำคัญ บรรยากาศแห่งความสุขก่อนเข้าสู่ปีใหม่ ในอารมณ์แบบไทยๆที่รู้กันโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้อุณหภูมิทางการเมืองผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปโดยปริยาย

ขืนใครผิดคิวป่วนให้เสียบรรยากาศมีหวังโดนด่า

ฝ่ายไหนแหลมขึ้นมาทำให้เสียบรรยากาศก็เสี่ยงเจอกระแสตีกลับหน้าหงาย

แน่นอน โดยเงื่อนไขสถานการณ์ก็ถือเป็นจังหวะดีในช่วงเวลาสั้นๆอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน ที่เอื้อต่อรัฐบาลทหารคสช.ที่กำลังเผชิญภาวะ “ศรัทธาระส่ำ”

เรือแป๊ะโดนคลื่นลมซัดเกยตื้น “อุทยานราชภักดิ์”

อาการเหมือนเสือที่โดนชนักปักหลัง บาดเจ็บสาหัสเป็นแผลลึก พร้อมติดเชื้อลามเป็นบาดทะยัก

โอกาสเสี่ยงกลายเป็นจุดตายได้ทุกเมื่อ

โดยเฉพาะในภาวะที่เครดิตต้นทุนหน้าตักหดหาย ความไว้เนื้อ เชื่อใจในมาตรฐานความโปร่งใสของรัฐบาลทหารแทบไม่เหลือ

ถ้ามีเหตุให้ต้องเปลืองตัวซ้ำขึ้นอีกเมื่อไหร่ โอกาสที่เรือ แป๊ะจะคว่ำก็เป็นไปได้สูง

ที่แน่ๆในสถานการณ์ที่ยังพอมีโอกาสพักหายใจหายคอ

ช่วงการเมืองซาในเดือนธันวาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ในฐานะคนถือหางเสือต้องแสดงให้เห็นว่า เรือแป๊ะจะเดินหน้าต่อไปได้

หรืออย่างที่เจ้าตัวพูดเป็นเชิงทีเล่นทีจริง ยืนยันตัวเองไม่ใช่แค่คนแจวเรือแป๊ะ แต่เป็นกัปตันคุมแพขนานยนต์ ที่จะต้องบรรทุกคนไปทั้งหมด

ก็ต้องโชว์ให้มั่นใจว่าจะพาผู้โดยสารไปรอดปลอดภัย โดยไม่ล่มกลางมรสุมที่ถาโถมเข้าใส่

ท่ามกลางสารพัดเงื่อนไขรุมเร้า โฟกัสปมร้อนเฉพาะหน้า

ไม่ว่าจะสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ กำลังวิ่งสู้ฟัด นำคณะเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ กระตุ้นความมั่นใจการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่น พอกลับมาก็เดินหน้าเร่งเมกะโปรเจกต์รถไฟฟ้า 4–5 สาย

กระตุ้นการไหลเวียนของเศรษฐกิจภายในประเทศเต็มที่

แต่ก็ต้องมาเจอกับโจทย์ปัญหาหนักอึ้ง ที่องค์กรการบินพลเรือนของสหรัฐอเมริกา หรือ FAA ได้ประกาศลดระดับมาตรฐานการบินพลเรือนไทยจาก Category 1 เป็น Category 2 จัดอยู่ในบัญชีเฝ้ามองและห้ามเครื่องบินของไทยบินตรงเข้าสหรัฐอเมริกา รวมทั้งขยายเส้นทางการบินเพิ่ม

และยังต้องลุ้นต่อเนื่องไปถึงคิวของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป (EASA) ที่จะประกาศผลการตรวจสอบในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ซึ่งแนวโน้มคำตอบสุดท้ายก็คงจะไม่หนีกันซักเท่าไหร่

แน่นอน สิ่งที่ต้องทำใจรับสภาพกับสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของไทย เจอเงื่อนไขติด ล็อกเรื่องเส้นทางการบินจากอเมริกาและยุโรป มีหวังหลุดเป้ากระจุยกระจาย และยังอาจรวมไปถึงสถานภาพของ บริษัทการบินไทยฯ ที่กำลังตกอยู่ในสภาพขาดทุนบักโกรก

เจอดอกนี้ซ้ำเข้าไปอาการยิ่งโคม่าหนักเข้าไปใหญ่

เศรษฐกิจหนัก โจทย์ยากต้องประคองไม่ให้ความ เดือดร้อนลามไปถึงปากท้องชาวบ้านรากหญ้า

ถ้าเอาไม่อยู่ก็จะแปรผันตรงกับแรงเสียดทาน อาการต่อต้าน คสช.

ในขณะที่สถานการณ์ด้านความมั่นคงที่ว่าปึ้กสุดตามฟอร์มของรัฐบาลทหาร ภายใต้สถานการณ์อำนาจพิเศษ ที่ยักษ์ถือกระบองมาตรา 44

แต่มาถึงตรงนี้ ระดับการ “ควบแน่น” ไม่เหมือนเดิม

ประเมินได้จากปรากฏการณ์ปมร้อนอุทยานราชภักดิ์ที่หยุดไม่อยู่แม้จะประกาศ “เขตทหารห้ามเข้า”

ตามอารมณ์ที่คนนอกก็เดาทางได้ จากการที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.แถลงผลสอบยืนยันเฉพาะในส่วนของกองทัพบกที่ไม่พบการทุจริต แต่โยนเรื่องหัวคิวไปให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมตอบเอง

ไม่ปลดล็อกทุ่นระเบิดให้อดีต ผบ.ทบ.

ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ล้อกับการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะพี่ใหญ่ทีมบูรพาพยัคฆ์ ต้องเคลียร์กระแสซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ

บอกปัดปมขบเกลียวกันเองระหว่าง พล.อ.ธีรชัยกับ พล.อ.อุดมเดช

ปฏิเสธยังไงก็ไม่ออก เพราะมันฟ้องด้วยภาพที่สะท้อนอาการกันออกมา

และก็ยิ่งน่าคิดกับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ที่แสดงจุดยืนตรงกันกับกระแสกดดันให้ พล.อ.อุดมเดชลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีอุทยานราชภักดิ์

เชื่อว่า พล.อ.อุดมเดชคิดเองได้ เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ไม่ปกป้องแถมโยนแรงกดดันกลับไปให้รับเองคนเดียวเต็มๆ

ว่ากันตามเหลี่ยมทางการเมือง แนวโน้มแบบนี้คือปล่อยลอยแพ

เรื่องของเรื่อง มันยังมีสัญญาณให้แปรความตามอาการที่ พล.อ.ประ ยุทธ์ได้ตอบคำถามนักข่าวกรณีที่มีการมองเกมของฝ่ายตรงข้ามพยายามจะเขย่า คสช.มากกว่าต้องการให้ พล.อ.อุดมเดช ลาออก

ไม่มีปัญหาหรอก คสช.มีทั้งกองทัพ 4 กองทัพพอไหม

โชว์พลัง 4 กองทัพคุ้มกัน คสช. กระตุกความแน่นหนาฐานรองรับอำนาจพิเศษ

ขู่ฝ่ายตรงข้าม ตอกย้ำความมั่นใจให้ตัวเองไปในที

แต่ตามร่องรอยของอาการร้าวภายในมันก็มีให้เห็นในหลายจุด ทำให้ประเมินจากภายนอกได้ว่า อำนาจพิเศษไม่แน่นปึ้กเหมือนเดิม

ความมั่นคงไม่แน่นเหมือนเก่า เศรษฐกิจก็หนีภาวะซบเซาไม่ออก

การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โรดแม็ปปฏิรูปต้องหลบให้ การกู้สถานการณ์เฉพาะหน้า

ในภาวะที่รัฐบาล คสช.เผชิญกระแส “ศรัทธาระส่ำ”

เห็นกันอยู่ว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยคลื่นลมแรง ไม่ว่าจะเรือแป๊ะหรือแพขนานยนต์ก็อันตราย

อย่างไรก็ดี มาถึงจุดนี้ก็ยังมีการพูดกันถึงช่องทางออกฉุกเฉิน ด้วยการใช้อำนาจพิเศษเร่งคืนอำนาจ โดยหยิบรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับใช้แล้วประกาศให้มีการเลือกตั้ง

อาศัยดาบมาตรา 44 ทุบโต๊ะเล่นเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงสถานการณ์วุ่นวาย

แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่สงบ แนวโน้มจะนำไปสู่การเผชิญหน้ารบกัน

ขั้วอำนาจแตก ไม่รู้ใครเป็นใคร

มันก็เลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเส้นทางมันบีบให้ไม่มีทางเลือกอื่นให้ออกจากโซนอันตราย

นอกจากเดินไปสู่การปฏิวัติซ้ำ

หรือไม่ก็รัฐประหารซ้อน.

“ทีมการเมือง”