ข่าวกรองรัสเซียเตือนภัย พบแผน-ก่อเหตุร้ายแรง สถานที่สำคัญ‘พันธมิตร’
“ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล” รอง ผบ.ตร. เผยอาจได้ข่าวดีเรื่องการจับตัวผู้ต้องหาชาวไทยและต่างชาติที่ก่อเหตุบึมสะท้านกรุงย่านราชประสงค์ คาดเป็น “ไมซาเลาะห์” กับสามี พบเบาะแสที่ประเทศตุรกี ด้านนายกฯบอกยังไม่ได้รับรายงาน โบ้ยให้ถาม “บิ๊กป้อม” รมว.กห. ขณะที่สันติบาลเต้นออกหนังสือด่วนที่สุด ให้ตรวจสอบหวั่นเกิดเหตุร้าย หลังหน่วยข่าวกรองรัสเซียประสานสภาความมั่นคงแห่งชาติแจ้งเตือนความเป็นไปได้ในการก่อเหตุร้ายของกลุ่มไอเอสต่อผลประโยชน์ของรัสเซียในไทย มีชาวซีเรีย 10 คน เดินทางเข้าประเทศก่อนแยกย้ายไปภูเก็ต พัทยา กทม.
จากคดีคนร้ายลอบวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และโยนระเบิดลงแม่น้ำใกล้ท่าเรือสาทร หน่วยงานความมั่นคงชี้ทั้งสองเหตุพัวพันกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทางการไทยเคยผลักดันออกนอกประเทศ โดยชุดคลี่คลายคดีสามารถจับผู้ต้องหาได้แล้ว 2 คน นายบิลา มูฮัมหมัด หรือนายอาเดม การาดัค และนายเมียไรลี ยูซูฟู อยู่ระหว่างการคุมตัวที่เรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี (พัน.ร.มทบ.11) ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวผู้ต้องหาที่เหลือ
ความคืบหน้าที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 3 ธ.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า การดำเนินการติดตามตัวผู้ต้องหาคดีระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร มีความคืบหน้าใกล้มีข่าวดีเกี่ยวกับการติดตามตัวผู้ต้องหาทั้งชาวไทยและต่างชาติที่หลบหนีไปต่างประเทศ อยู่ระหว่างการประสานของหน่วยงานด้านความมั่นคงและอัยการ ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ในคดีนี้ที่ถูกควบคุมตัวในต่างประเทศ เป็นผู้จัดหาที่พักพิงแก่กลุ่มผู้ก่อเหตุวางระเบิดในย่านเขตหนองจอกและเขตมีนบุรี กทม. ประกอบด้วย นางวรรณา สวนสัน หรือไมซาเลาะห์ ชาว อ.คุระบุรี จ.พังงา และนายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู ผู้เป็นสามี ชุดสืบสวนพบการติดต่อของนางวรรณากับทางการประเทศตุรกี เนื่องจากหนังสือเดินทางหมดอายุ ทำให้พบเบาะแสของผู้ต้องหาคู่นี้
...
เย็นวันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ทางการประเทศตุรกีเตรียมส่งตัวนางวรรณา สวนสัน หรือไมซาเลาะห์ หนึ่งในผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ และครอบครองวัตถุระเบิดในคดีระเบิดแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ต้องรอ เดี๋ยว กระทรวงการต่างประเทศเขาติดต่อมา แต่ยังไม่ถึงตน ข้างล่างยังดูอยู่ ยังไม่รายงานมา เดี๋ยวเขาก็ทำเอง มีกันตั้งหลายกระทรวง หรือให้ไปถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบช.ส. ปฏิบัติราชการ ผบช.ส. ลงนามในหนังสือคำสั่งเลขที่ 0028.122/137 เรื่องติดตามพฤติการณ์ชาวต่างชาติใจความว่า ด้วยหน่วยต่อต้านข่าวกรองของรัสเซีย หรือเอฟเอสบี ประสานผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติแจ้งเตือนความเป็นไปได้ในการก่อเหตุร้ายของกลุ่มไอเอส ต่อผลประโยชน์ของรัสเซียในประเทศไทย โดยระบุว่า มีชาวซีเรีย 10 รายที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส เดินทางเข้าไทยแล้วระหว่างวันที่ 15-31 ต.ค.58 ก่อนแยกกลุ่มเดินทางไปพัทยา 4 ราย ภูเก็ต 2 ราย กทม. 2 ราย ส่วนอีก 2 ราย ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด และยังไม่ทราบชื่อทั้งหมด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อเหตุร้ายต่อผลประโยชน์ของรัสเซียและกลุ่มพันธมิตรในไทย จึงให้พิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1.ให้สืบสวนติดตามพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงจากข่าวสารดังกล่าว 2. เพิ่มความเข้มในการสืบสวนติดตาม สถานที่เป้าหมายจากฝ่ายรัสเซียที่มีความกังวลว่าจะเกิดเหตุร้าย รวมถึงสถานที่ของประเทศพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยียม สวีเดน และออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายในไทยโดยเด็ดขาด 3. ให้ บก.ส.1 และ 2 เร่งพิสูจน์ทราบข่าวสารกลุ่มบุคคลชาวซีเรียที่เดินทางเข้าไทยทั้ง 10 ราย 4. ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน กล่าวคือ สถานที่สำคัญ แหล่งพักอาศัย แหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งหมด โดยเน้นดำเนินการกลุ่มประเทศคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายพันธมิตรที่ร่วมโจมตีกลุ่มไอเอส กับกลุ่มเครือข่ายไอเอสเป็นอันดับแรกก่อน 5.ให้บก.ส.3 เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคล และ 6.ให้รายงานผลการปฏิบัติตามสายการบังคับบัญชาทราบทุกสัปดาห์ในวันพุธ โดยรายงานครั้งแรกวันพุธที่ 2 ธ.ค.58
ด้าน พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า รับการประสานจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ตรวจสอบชาวซีเรีย 400 คน ที่เข้ามาในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. พบทั้งหมดถือหนังสือเดินทางเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวมีอายุ 60 วัน เบื้องต้นไม่พบประวัติความผิดปกติแต่อย่างใดและได้รายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงรับทราบแล้ว