ถ้าคุณสนใจเรื่องฮวงจุ้ย เรื่องความเชื่อ สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ และของกินที่หลากหลาย 'มาเก๊า' น่าจะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ไม่แพงมากมาย (ค่าเงิน 1 ดอลล่าร์ฮ่องกงเท่ากับ 5 บาทไทยโดยประมาณ) เป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ แต่น่าสนใจ 

ตามเรามาจุดประสงค์แรกในการเดินทางไปทริปนี้ มีหลายประการ ไหว้พระ ท่องเที่ยว และเก็บเรื่องใหญ่ กระทั่งเรื่องเล่าน่ารักเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง

...

'มาเก๊า' กับ 'ไทย' ใช้พระอาทิตย์ดวงเดียวกัน! 

มาเก๊า, ประเทศที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีความร้อน ทันทีที่ก้าวเท้าลงเครื่องเรารู้สึกแบบนั้น เพราะแม้จะมีลมเย็นๆ วิ่งผ่านร่าง แต่รวมๆ แล้วพูดได้ว่าแดดที่นี่ร้อนเทียบเท่ากับแดดที่ประเทศไทยเราเดินทางไปถึงราวๆ เที่ยงวัน สภาพอากาศอยู่บนความคาดหวังว่าอากาศจะไม่เหมือนกับบ้านเรา

มาเก๊าน่าจะเย็นๆ เหมือนเปิดเซ็นทรัลแอร์ 25 องศา 

แต่ทว่าพระอาทิตย์ที่ 'มาเก๊า' ก็เปล่งรัศมี ไม่ปรานี SPF (Sun Protection Factor) ที่ฉาบอยู่บนหน้าและร่างแต่อย่างใด เขาบอกว่าหลังจากเดือนธันวาคมไปอากาศน่าจะเย็นขึ้นกว่านี้นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ชอบอากาศหนาว

สนามบินมาเก๊า คล้ายกับสนามบินภูเก็ตคือเล็กๆ ไม่ใหญ่ ผู้คนก็ไม่ขวักไขว่มาก แยกกันทำธุรส่วนตัวแล้วเดินขึ้นรถสู่เป้าหมาย วัด pou tai sim un 

รู้จักมาเก๊า จากปากเค้า

ระหว่างเดินทางไกด์ร่างเล็กเล่ารากของ 'มาเก๊า' ให้พวกเราฟังว่า ชาวประมงมณฑลฝูเจี้ยน และชาวนาจากมณฑลกวางตุ้งเป็นกลุ่มแรกๆ ที่มาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เมื่อก่อนใช้ชื่อว่า เอ้าเหมิน (Ou Mun) หรือ “ประตูแห่งการค้าขาย” ด้วยทำเลเมืองตั้งอยู่ ณ ปากแม่น้ำจูเจียงหรือแม่น้ำไข่มุก หรือแม่น้ำเพิร์ลทางตอนใต้ของมณฑลกวางเจา อดีตเมืองท่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม และจะมีเรือบรรทุกไหมเพื่อที่จะนำไปส่ง ที่กรุงโรม

แม้ว่าหลังจากจีน (ขณะนั้น) ไม่ได้เป็นศูนย์กลางการค้าของโลก แต่กวางเจายังคงรุ่งเรือง ดังนั้นผู้ประกอบการในท้องถิ่นจึงยินดีต้อนรับพ่อค้าและนักสำรวจชาวโปรตุ เกส ในปี ค.ศ. 1513 และเริ่มหาจุดค้าขาย ที่เหมาะสม

40 ปีถัดมา ชาวโปรตุเกสเดินทางมาในพื้นที่เรียกว่า อาม่าเก๊า “สถานที่ของอาม่า” เพื่อเป็นเกียรติกับเทพธิดาแห่งชาวเรือ ซึ่งมีวัดตั้งอยู่ ณ ทางเข้าท่าเรือ ด้านใน ชาวโปรตุเกสนำชื่อดังกล่าวไปใช้ซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็น 'มาเก๊า' จากที่ได้รับอนุญาตจากขุนนางจีนในกวางตุ้ง ชาวโปรตุเกสได้ก่อตั้งเมืองขึ้นมา ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ได้กลายเป็นคลังสินค้าสำหรับการค้าระหว่างจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป

หลังจากสงครามฝิ่นในปี ค.ศ. 1841 อังกฤษได้ก่อตั้งฮ่องกงขึ้นมา และพ่อค้าต่างชาติส่วนมากย้ายออกไปจากมาเก๊า ก็กลายเป็นเมืองที่มีเสน่ห์แบบโบราณและเป็นเมืองที่เงียบๆ ที่ไม่มีการพัฒนาใดๆ แต่ทว่าที่นี่ยังคงเป็นเมืองที่มีหลากหลายวัฒนธรรมที่มีความเป็นอยู่แบบสบายๆ และมีการใช้อาคารในประวัติศาสตร์ทุกวันที่กลายเป็นสถานที่ที่นักเดินทาง นักเขียน และศิลปินจากนานาประเทศชอบแวะมาเยี่ยมชม

ในอดีตมาเก๊าได้พัฒนาอุตสาหกรรม เช่น สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ และของเล่น ขณะที่ทุกวันนี้มาเก๊าได้สร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับโลกที่มีโรงแรม รีสอร์ต สิ่งอำนวยความสะดวก ร้านอาหาร และบ่อนกาสิโนให้เลือกมากมาย เศรษฐกิจมาเก๊าก็เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้งอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเขตปากแม่น้ำเพิร์ล ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน “เสือน้อย” แห่งทวีปเอเชีย 

...

ตัวเลขระบุว่าปี 2015 ระหว่างเดือนมกราคม-กันยายนที่ผ่านมา 10 อันดับนักท่องเที่ยวได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อเมริกา อินเดีย และประเทศไทยอันดับสิบ รวมๆ แล้วเข้ามาท่องเที่ยวมาเก๊ากว่า 2 ล้านคน

ประเทศท่องเที่ยวกำลังโตวันโตคืนที่สะท้อนออกมา ไม่แปลกว่าปัจจุบันไม่ว่าจะมองออกไป ซ้าย ขวา หน้า หลัง จะเจอแต่สิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อเกาะสู่เกาะในภูมิภาคนี้อย่างมากมาย แม้ตอนนี้มาเก๊าจะคล้ายๆ เมืองเหล็กเส้น เมืองกำแพงซีเมนต์ ที่ยังประกอบร่างไม่เสร็จ แต่ลองหลับตานึกภาพว่า หากทุกสิ่งประกอบเสร็จ

เชื่อว่า 'มาเก๊า' จะเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวจะได้รับความนิยมมหาศาลจากชาวโลกมากิน ดื่ม เที่ยวอย่างแน่นอน

...


สถานีต่อไปวัดวา อร่ามตา!

รถจอดพอๆ กับคำอธิบายประวัติ 'มาเก๊า' จบ มองจากด้านหน้าบริเวณวัดแห่งนี้ดูจะใหญ่โต สวนทางกับความอัตคัดพื้นที่ใช้สอยเพราะ 'มาเก๊า' แทบไม่มีบ้านเดี่ยวเลย ส่วนใหญ่ผู้คนจะอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ คอนโดฯ ห้องชุดซะมากกว่า แน่นอนว่าราคาพื้นที่ห้องเล็กๆ ไม่กี่ตารางวาก็สูงลิบ เรียกได้ว่าซื้อบ้านเดี่ยวชานเมืองในไทยหรูๆ ได้หลายหลังเลยทีเดียว

...

เกร็ดแรกเล็กๆ ของวัดนี้ก็ทำเอาเราอมยิ้ม เพราะด้านหน้ามีศาลพระภูมิพระพรหมเอราวัณที่มีคนอัญเชิญมาจากประเทศไทย ยกมืออธิษฐานให้คุ้มครองเราตลอดทริปแล้วเดินขึ้นบันไดตามทาง ด้านบนก็จะพบกับองค์ศากยมุนีทำด้วยไม้ทั้งองค์ที่ใหญ่ที่สุดในมาเก๊า ขอพรเสร็จสรรพ เดินลงมาจะเจอโถงเจ้าแม่กวนอินพันมือ อธิษฐานขอพรตามที่ตั้งใจ ไกด์แนะนำให้เราพักกินอาหารเที่ยงที่นี่ ใครที่ชอบอาหารเจก็ไม่ควรพลาดรสชาติและหน้าตาดี แถมราคาไม่แพงมาก ไม่นานหมอช้าง ทศพร ศรีตุลา หมอดูชื่อดังเดินทางมาสมทบ

เราเดินทางขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไป พิพิธภัณฑ์ Taipa House เป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่มีความสวยงาม โอบล้อมด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นสวยงาม โดยอาคารสไตล์โปรตุเกส 5 หลังสีเขียวขาวคลาสสิก ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ Macanese House, House of Islands, House of Portugal Regions, Exhibition Gallery และ Reception House แต่ละหลังจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ วิถีชีวิตของชาวมาเก๊า และชาวโปรตุเกสที่น่าสนใจ

เป็นการจำลองภาพชีวิตในอดีตให้เห็นและสัมผัสกันได้เต็มความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รวมไปถึงภาพถ่ายแห่งความทรงจำ ของเกาะไทปาและโคโลอาน ในส่วนของ Exhibition Gallery จะจัดแสดงนิทรรศการทางศิลปะ และภาพภ่ายหมุนเวียนให้ผู้สนใจเข้าชมได้ตลอดทั้งปี  

น่าเสียดายอยู่นิดๆ ที่เราไปตอนฤดูแดดแรงราวกับไฟในเตาถ่าน จึงไม่เห็นทะเลบัวที่ด้านหน้า นอกจากสวยแล้ว ถือว่าพวกเขายังเก็บรักษาความสวยงามของของโบราณได้ดีแบบน่าอิจฉามากจริงๆ 

อรุณสวัสดิ์ 5 วัดมาเก๊าศักดิ์สิทธิ์ 'แก้ชง' ที่ดีที่สุดห้ามพลาด!

ตื่นเช้ามาเจอ หมอช้าง ทศพร แต่เช้าตรู่ (มาเก๊าเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) แบบเต็มวัน ทำให้เรารู้ว่าวันนี้เป็นการทัวร์วัดแก้ชง ชงปี 2559 ได้แก่ ปีขาล และปีร่วมชงได้แก่ ปีวอก, มะเส็งและ กุน กับกูรูอย่างแท้จริง

วัด Lin Fong เป็นจุดหมายที่มีความหมาย และควรต้องไปโดยเฉพาะคนที่ต้องการแก้ชง เสริมสิริมงคง เอกสารบอกว่า Lin Fong เป็นวัด 1 ใน 3 ที่เก่าแก่ที่สุดใน 'มาเก๊า' ตามประวัติสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงราวปี ค.ศ. 1592 วัด Lin Fong เป็นวัดลัทธิเต๋าแห่งเดียวในมาเก๊า และเป็นวัดเดียวที่มีโรงเรียนอยู่ภายในวัด

คนขับรถบัสจอดเทียบฟุตปาทแคบๆ เดินข้ามฟากถนนไม่นานจะพบกับวัดแห่งนี้ ถ้าเทียบกับวัดเมื่อวาน Lin Fong โอ่อ่า กว้างขวางมากกว่า ด้านหน้าเป็นลานกว้างสะอาดตา หมอช้างเดินอาดๆ นำหน้า ยิ้มอธิบายว่า วัดแห่งนี้ผู้คนนิยมมาขอพรให้สุขภาพดี ปลอดจากโรคภัย โดยมีการบนบานเพื่อให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย

'วัดแห่งนี้มีเทพที่ชื่อ 'กิมฮัว' เชื่อว่าเป็นเทพอำนวยพรให้แม่และเด็กผู้คนจึงนิยมมาขอพรให้คลอดบุตรง่ายและสุขภาพแข็งแรง และเทพ 'อี้เล่งไตไต' และ 'หลั่นหลงไตไตผู้คนนิยมมาขอพรให้สุขภาพดีปลอดจากโรคภัย...'

หมอช้าง บอกวิธีการไหว้ที่หลายคนสับสนอยู่ว่าให้บูชาด้วยเทียน 1 คู่ ปักซ้ายขวา ธูปใหญ่ 3 ดอก ธูปเล็ก 3 ดอก กระดาษเงินกระดาษทอง หลายคนไหว้ขอพรแล้วเดินตามหมอช้างเพราะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของประวัติ ความเชื่อ และตำแหน่งการฮวงจุ้ยที่นี่อย่างมากมาย 

เราเหลือบไปเห็นธูปที่มีลักษณะใหญ่เหมือนกับขด 'ยากันยุง' หลากหลายไซส์ ถามได้ความว่า คนที่นี่มีความเชื่อว่า ยิ่งธูปจุดได้ยาวนานเท่าไหร่ พรที่ขอก็ยิ่งสัมฤทธิผลมากเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ธูปยักษ์หลายขดจุดบูชาได้หลายวันยังไหม้ไม่หมด เพราะขนาดใหญ่กว่าจานดำ PSI ที่นี่เปิดให้เข้ามาสักการะ 07.00-17.00 น.

เดินฟัง เดินเก็บภาพบรรยากาศพักใหญ่ ถึงเวลาไปต่อ วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kun Lam)  

วัดแห่งนี้ เปิดเวลา 07.00-17.30 น. แต่ถ้าไปก็แนะนำให้ไปเช้าๆ หน่อย เพราะคนจะไม่มาก วัดเจ้าแม่กวนอิมถือเป็น 1 ใน 3 วัดที่เก่าแก่สุดในมาเก๊าอีกเช่นกัน

เป็นหนึ่งในวัดใหญ่ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ไฮไลต์ของที่นี่คือมีเจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานภายในแต่งเครื่องทรงอาภรณ์ ด้วยชุดที่เราไม่ค่อยเห็นที่ไหน เป็นชุดเจ้าสาวโบราณทำจากผ้าไหม แม้จะดูแปลกตากับรูปลักษณะและเครื่องแต่งกาย แต่ก็ถือว่างดงามตามแบบฉบับท้องถิ่นเช่นกัน

ที่วัดแห่งนี้ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องเงินทอง และโชคลาภ โชคดีวันที่พวกเราไป ทางวัดเปิดให้พวกเราไปสักการะใกล้ๆ ซึ่งปกติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย วิธีบูชาในวิหารเจ้าแม่กวนอิม บูชาด้วยเทียน 1 คู่ ปักซ้าย-ขวา ธูปใหญ่ 3 ดอก ปักตรงกลาง จุดธูปเล็กทั้งกำ ปักกระถางละ 3 ดอก ทุกกระถางออกไปจนถึงหน้าวัด

2 วันที่ผ่านมานี่ มีแว่บหนึ่งในความคิดว่า ถ้าเปิดธุรกิจขายธูปที่นี้คงดี-เพราะมาเก๊าถือว่าเป็นเมืองที่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และฮวงจุ้ย แน่นอนว่าองค์ประกอบที่สำคัญในการสักการะก็คือธูปนั่นเอง ไกด์บอกเราว่า ชีวิตประจำวันของคนมาเก๊าใช้ธูปเยอะ แทบทุกบ้านจะจุดธูปไหว้พระก่อนออกจากบ้าน

คิดดูว่าปีหนึ่งๆ คนทั้งเกาะจะใช้ธูปมหาศาลสักแค่ไหน แค่คิดก็ใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้ว

สถานีต่อไป วัดอาม่า (A-Ma) เป็นอีกหนึ่งวัดที่หมอช้าง และคนมาเก๊าภูมิใจเสนอ เพราะเป็น 1 ใน 3 วัดที่ขลังและเก่าแก่สุดของที่นี่ วัดนี้เป็นวัดที่ได้รับความนิยมมากกราบไหว้กันมากที่สุด ไม่ต้องอาศัยเอกสารบอก เพราะลงรถไปก็จะเจอกับกองทัพนักท่องเที่ยวกันอย่างมากมาย คุยกันเสียงดัง

จุดธูปกันคันเต็มท้องฟ้า จริงๆ ที่เห็นเขาพูดดังๆ ไม่ได้มีเรื่องกัน แต่มันเป็นเอกลักษณ์ของคนที่นี่ ไกด์สาวไขข้อสงสัย

วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงตั้งแต่ปี ค.ศ.1488 ที่สำคัญที่นี่ยังไม่ได้รับการบันทึกจาก UNESCO ให้เป็นหนึ่งในมรดกอีกด้วย

ไฮไลต์ที่ไม่อยากให้พลาดก็คือ องค์อาม่า หรือเจ้าแม่ทับทิมเป็นองค์ประธาน ผู้คนยุบยับที่เราเห็นก็นิยมมาขอเพื่อเป็นสิริมงึลให้กับตัวเองและครอบครัว โดยบูชาด้วยธูปเทียนขด-เทียน หรือเทียนดอกบัวคู่เพื่อขอพรเรื่องคู่ครอง-คนรัก 

หมอช้างแนะนำให้เราใช้ธูปแท่งใหญ่ ด้านข้างสลักมังกรสวยงามเพื่อเวลาอธิษฐานจะเพิ่มความเป็นสิริมงคล ขอพรเสร็จสรรพ ก็จุดธูปเล็กอีก 15 ดอก ปักกระถางละ 3 พร้อมกับเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสร็จสรรพพาเดินไปที่หินแกะสลักรูปเรือสำเภาโบราณ เชื่อกันว่าหากพกธนบัตรและพับเป็นรูปคล้ายๆ เรือ แล้วนำไปลูบกับภาพจำลองเรือแกะสลักบนหิวแล้วจะมีโชค เงินทองไหลมาเทมา

หมอช้างนำพับแบงก์ดอลลาร์ฮ่องกง ทบไปมาให้คล้ายเรือสำเภา หลังจากนั้นก็นำธนบัตรค่อยๆ ลูบและอธิษฐานเพื่อขอพรให้มีโชคภาพเงินทองมั่งมีตลอดไป หลังจากนั้นก็เอาแบงก์พับใส่กระเป๋าสตางค์ เพื่อเป็นสิริมงคลและสร้างกำลังใจ แต่พกของดีแล้วนั่งเฉยๆ อธิษฐานไปก็ไลฟ์บอย ถ้าคุณไม่ลงมือทำ

สถานีต่อไป เปาปุ้นจิ้น และเทพไท้ส่วยเอี๊ย 60 องค์สุดยอดการแก้ชง

วัดเปากง (Pau Kung) คือที่ต่อไป เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ในทริปนี้ อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนนึกว่าการทัวร์วัดทั้งหมดที่เล่ามันคงจะใช้เวลาทั้งวัน ที่จริงก็ไม่ได้นานขนาดนั้น เพราะมาเก๊าเป็นเกาะเล็กมีพื้นที่เพียง 29.9 ตร.กม. ประกอบด้วยคาบสมุทรมาเก๊า 9.3 ตร.กม. เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ เกาะไทปา 7.4 ตร.กม.เกาะโคโลอาน 7.6 ตร.กม. และพื้นที่พัฒนาโคไท 5.6 ตร.กม.นับรถจากจุดหนึ่งไปจุดที่ต้องการไม่กี่นานที แม้ตอนนี้รถจะติดไปบ้างเพราะการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างที่บอกไป 

วัดนี้มีเทพประธานของศาลชื่อว่า 'เทพเปากง' หรือ 'เปาปุ้นจิ้น' ที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันดีเป็นเทพแหน่งความยุติธรรม ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาพรจากเทพเปากงให้ช่วยปัดเป่าคนปองร้าย หรือศัตรู นอกจากนี้อีกหนึ่งทีเด็ดก็คือที่นี่มีหอเทพไท้ส่วยเอี๊ย 60 องค์ สำหรับผู้ที่ต้องการปีชง

นอกจากเทพเปากง ที่มีเรื่องเล่าว่าคนที่เอาเทพอยู่นี้มาบูชาคนแรกเจริญรุ่งเรือง จนคนในหมู่บ้านเห็นอิทธิฤทธิ์ป่วยไข้จึงขอมาสักการะบ้าง ปรากฏว่าหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากนั้นเขาก็นำสร้างสถานที่ให้เทพเปากงอยู่ พร้อมกับเปิดให้ชาวบ้านมาสักการะขอพร ดังนั้นคนในวัดนี้ที่เป็นคนดูแลก็รับสืบทอดมาอีกต่อหนึ่ง หมอช้างแนะนำวัดนี้เป็นพิเศษ เพราะโดยปกติการไหว้แก้ชงที่เราเห็นๆ เป็นไท้ส่วยเอี๊ยกลางๆ แต่ที่นี่ทุกคนจะมีไท้ส่วยเอี๊ยประจำดวงของตัวเองอยู่ทุกคน

ดังนั้นจึงขอพร แก้ชงได้อย่างตรงเทพที่ดูแลเรามากที่สุด 

วิธีบูชาเทพ ให้เดินไปบอกเจ้าหน้าที่ศาล เขาก็จะเตรียมของให้เรา หลังจากนั้นเขาจะนำเราไปจุดเทียนคู่ ปักกระถางซ้าย-ขวา จุดธูปใหญ่ 3 ดอก ปักกระถางเดียว จุดธูปเล็ก 9 ดอก ปักกระถางเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะสวดให้ เราก็ยกกระดาษเงินกระดาษทองพร้อมกับบอกชื่อตัวเอง เจ้าหน้าที่จะนำกระดาษเงิน-ทอง (จำนวนเท่าไหร่ก็ซื้อตามใจ) แล้วบอกชื่อตัวเอง เสร็จเขาก็จะนำกระดาษเงิน-ทองไปตั้งให้ที่เทพวันเกิด แล้วนำกระดาษไปเผา