วงการสีกากี มีแนวโน้มจะขาดนายตำรวจระดับนายพลฝีมือดีไปอีกคน เมื่อ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ประกาศลาออก อำลาชีวิตข้าราชการตำรวจ จากปมถูกโยกย้ายไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ภายหลังทำหน้าที่หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา แม้พยายามขอให้ผู้บังคับบัญชา ทำการพิจารณาทบทวนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าไม่เป็นผล ทางออกสุดท้ายก็ต้องลาออกเท่านั้น!!
เมื่อย้อนไปช่วงเดือน พ.ค. 2558 ได้เกิดคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา บนเทือกเขาแก้ว บ้านตะโละ หมู่ 8 ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนรอยต่อระหว่างไทยกับมาเลเซีย นำไปสู่การแต่งตั้ง พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ให้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีสำคัญดังกล่าว ที่นานาชาติต่างจับตามอง โดยได้ร่วมกับชุดสอบสวนและพนักงานอัยการ ทำงาน จนสามารถออกหมายจับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในคดีได้ 153 ราย จับกุมได้ 91 ราย
ที่สำคัญกลุ่มบุคคลที่ถูกออกหมายจับชุดสุดท้าย ก่อนพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการ เป็นทหารถึง 4 นาย คือ พันเอกณัฏฐ์สิทธิ์ มากสุวรรณ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดสตูล (ผอ.รมน.จ.สตูล) ร้อยเอกวิสูตร บุนนาค สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดชุมพร (กอ.รมน.จ.ชุมพร) ร้อยเอกสันทัด เพชรน้อย สังกัด กอ.รมน.จ.ชุมพร และ นาวาโทกัมปนาท สังข์ทองจีน สังกัดทัพเรือภาคที่ 3 โดย ร้อยเอกวิสูตร ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนไปแล้ว ส่วนทหารอีก 3 นายยังไม่ยอมเข้าพบตำรวจ
...
กระทั่งต่อมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เผยแพร่คำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย พล.ต.ต.ปวีณ ให้ไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ซึ่งได้ทำให้ทาง พล.ต.ต.ปวีณ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เนื่องจากที่ผ่านมาทำหน้าที่ตรงนี้อย่างสุดความสามารถ นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาหลายราย แต่กลับต้องโดนโยกย้ายไปอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีพรรคพวกของผู้ต้องหาค้ามนุษย์โรฮีนจาเต็มไปหมด
ยิ่งทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ รู้สึกไม่ปลอดภัย และอาจถูกลอบทำร้ายได้ตลอดเวลา จนนำไปสู่การขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน เพื่อส่งสารไปถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในฐานะผู้บังคับบัญชา เพื่อขอให้ทบทวนพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้อีกรอบ!!
แต่นั่นกลับไม่เป็นผล เมื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้สะท้อนกลับด้วยความเรียบเฉย ยืนยันแน่นหนักการโยกย้าย พล.ต.ต.ปวีณ ในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เนื่องจาก พล.ต.ต.ปวีณ เป็นคนมีความสามารถ เป็นตำรวจอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ล่าสุด พล.ต.ต.ปวีณ ได้เปิดเผยกับทาง ”ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์” ว่า ได้ยื่นจดหมายลาออกจากการเป็นตำรวจเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 58 ที่ผ่านมา เนื่องจากทางครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงและไม่สบายใจที่ต้องลงไปรับราชการอยู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ท่ามกลางบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดี อีกทั้งมีผู้อิทธิพลในเขตพื้นที่
"ตลอดชีวิตข้าราชการตำรวจ ผมไม่เคยทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ไม่มีข้อมูลในพื้นที่ ดังนั้น การที่ย้ายผมลงไปเป็นรองผู้บัญชาการที่นั่น ในระหว่างที่ผมเหลืออายุราชการอีกเพียง 3 ปี ผมจึงคิดว่าผมไม่น่าจะทำประโยชน์อะไรได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ ผมเป็นหัวหน้าสอบสวนจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์โรฮีนจา ศัตรูของผมจึงมีอยู่รอบตัว ทางครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัย เกรงว่าอาจจะมีการล้างแค้น การลาออกจากราชการจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด"
...
จากทางออกที่ พล.ต.ต.ปวีณ ตัดสินใจและยืนยันออกไป เจ้าตัวบอกว่า ไม่รู้สึกน้อยใจ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ไม่ทบทวนการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ แต่เชื่อว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ น่าจะมีเหตุผลที่ไตร่ตรองมาดีแล้วจึงมีบทสรุปแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตในการเป็นข้าราชการตำรวจ ได้ตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มความสามารถ เมื่อทุกอย่างเดินมาถึงจุดเปลี่ยน ก็คงต้องเลือกทางเดินใหม่ เพื่อรักษาชีวิตและครอบครัวไว้
"ผมรักอาชีพตำรวจมาก ผมเป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดาๆ ได้เรียนจบ ร.ร.นายร้อย ได้เป็นตำรวจ กระทั่งมาดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ทั้งหมดนี้สร้างความภาคภูมิใจให้ผมและครอบครัว หากถามว่าเสียใจไหมที่ต้องลาออกจากราชการก่อนวันเกษียณ ต้องขอตอบว่า "เสียใจมาก"”
...
ส่วนที่หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมต้องกลัวการไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งๆ ที่เป็นตำรวจยศนายพล “ทำไมต้องกลัวโจรผู้ร้าย” อยากจะอธิบายว่า ไม่ได้กลัวโจรผู้ร้าย หากก่อนหน้าที่จะทำคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ได้เคยขออาสามาทำงานที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้มาทำคดีนี้ มีการจับผู้ต้องหาที่เป็นทหาร ซึ่งมีเครือข่ายพรรคพวกเต็มพื้นที่ การแก้แค้นจึงอาจเกิดขึ้นได้ ไม่วันใดก็วันนึง
"ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยนำเสนอข่าวของผมมาโดยตลอด ผมคิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ถ้าไม่มีการทบทวนคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายของผม ผมคงต้องขอลาออก ผมไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้ง เหมือน พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมยา ซึ่งท่าน พ.ต.อ.สมเพียร ถือเป็นตำรวจที่เก่งมาก และชำนาญในพื้นที่ สุดท้ายท่านต้องมาถูกยิงตายก่อนเกษียณราชการเพียงไม่นาน ทั้งๆ ที่ ก่อนหน้านี้ท่านเคยขอย้ายออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยิ่งเป็นตัวผมเองด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงมาก ผมทำคดีค้ามนุษย์โรฮีนจามากับมือ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นยังไง ถ้าไม่มีใครช่วยผม ผมก็ต้องช่วยตัวเอง ผมมีครอบครัวต้องรับผิดชอบอยู่เบื้องหลัง ขาดผมไปสักกคน ครอบครัวผมจะอยู่อย่างไร" พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวทิ้งท้าย ก่อนอำลาชีวิตข้าราชการตำรวจ