ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 66 ปีแล้ว สำหรับชีวิตของอดีตดาวตลกชื่อดัง เทพ โพธิ์งาม หรือที่ใครๆ ในวงการต่างเรียกกันว่า ป๋าเทพ ที่ช่วงหลังผันตัวจากเป็นตลกมาจับธุรกิจอยู่หลายอย่าง แต่ก็เจ๊งไม่เป็นท่า เรียกว่าล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อยสำหรับชีวิตของตลกรุ่นใหญ่คนนี้ แต่ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจที่ทำ แต่ป๋าเทพก็ไม่ย่อท้อ พร้อมสู้ใหม่อีกครั้ง เพราะล่าสุดได้เปิดร้านข้าวต้มเล็กๆ ริมถนน ขายขนมเปี๊ยะ ซาลาเปา และปาท่องโก๋ แถวคลองโยง จ.นครปฐม
มาเริ่มทำธุรกิจขนมเปี๊ยะ ซาลาเปา ปาท่องโก๋ ได้ยังไง?
“ร้านนี้ชื่อว่า ครัวคุณเทพ ไม่ใช้แล้วคำว่าป๋า แก้เคล็ด เดี๋ยวเจ๊งอีก (หัวเราะ) ไอ้พวกนี้ ป๋าไม่ได้คิดเลยว่าจะทำ แต่มันมีสิ่งของที่เหลือมาจากที่เจ๊งร้านหมูกระทะมา ข้าวของที่มันเหลือ มันก็ทำขนมได้ มีเครื่องอบอยู่เว้ย มีเครื่องนวดแป้ง ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ก็คิดอยู่แล้วว่าจะเอาพวกที่เหลือๆ จากร้านมาขายเป็นของมือ 2 พวกโต๊ะ เก้าอี้ ว่าจะทำอย่างนั้น และมีพวกเด็กๆ อยู่ 3-4 คนที่มันตามมาด้วย มันก็บอกว่าป๋า อยากจะมีร้านอาหารเล็กๆ ทำเป็นคาราโอเกะ เอามั้ย ป๋าก็คิดอยู่นะ เอาไงดีวะ เอาก็เอาวะ และป๋าก็คิดว่าถ้าเราทำร้านเล็กๆ เราต้องมีกาแฟ มีปาท่องโก๋ มีซาลาเปา มีขนมเปี๊ยะ ป๋าก็คิดว่าทุกอย่างทำมาขายหน้าร้านละกัน แต่อยู่ๆ มา ไม่ใช่แค่ทำขายหน้าร้านแล้ว คนมากิน เค้าก็ถ่ายรูปไปลง เห็นป๋าทำเค้าก็ถ่ายไปลงเน็ต ไอ้ญาญ่าญิ๋งก็มาถ่ายลงไปอีก ทีนี้เป็นเรื่องเลย ขนมเปี๊ยะเนี่ย (ยิ้ม) เชื่อมั้ยว่าทั่วประเทศเค้าสั่งมาเกือบ 2 พันกว่ากล่อง แต่ไม่มีปัญญาจะทำให้เค้า ก็ผลัดเค้าออกไป บอกว่าขอเวลาหน่อยนะ กำลังคิดจะเอาคนงานเข้ามาทำขนมเปี๊ยะโดยเฉพาะ เพราะป๋ากำลังจะหาเช่าที่เป็นห้องเอาไว้ทำขนมเปี๊ยะโดยเฉพาะ ดูท่าทางเค้าสั่งมาเยอะมาก ที่ลูกค้ามาแน่นร้านเนี่ย (ชี้ไปที่หน้าร้าน) เค้าจะมากินขนมเปี๊ยะทั้งนั้นเลย คือไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นจุดขายได้”
...
พอทุกคนมา แต่ขนมเปี๊ยะ ซาลาเปา ปาท่องโก๋ หมด ทำไงคะ?
“ก็ต้องบอกเค้าว่าหมดแล้ว ก็บอกเวลาที่ทำขายให้เค้ารู้ว่า มาเวลานี้นะ เวลาที่จะผลิตให้เค้าได้ แต่เสร็จแล้วก็ไม่ทัน คนที่อยู่แถวนี้ซื้อไปก่อน คนที่สั่งไว้ก็ไม่ได้ เค้ามาที 6-7 หนก็ยังไม่ได้ แต่เค้าก็ดีนะ ไม่ว่าอะไร (ยิ้ม)”
วันนึงป๋าผลิตได้มากน้อยแค่ไหน?
“ป๋าทำวันละ 6 กิโลฯ เอง ไม่รู้ กลัวว่าจะขายไม่ได้ ที่ไหนได้ ขายไม่ถึงชั่วโมงก็หมด เหมือนปาท่องโก๋งี้ นวดแป้ง 6 โล แป๊บเดียวก็ขายหมด ต้องเพิ่ม”
อย่างวันนี้ที่ตอนสัมภาษณ์อยู่ คนเต็มร้านเลย?
“ก็ไม่ได้นึกเลยว่าจะเป็นอย่างนี้ เรากะขายเหมือนร้านข้าวต้มเล็กๆ อาหารตามสั่ง กะทำในช่วงที่เรายังไม่มีอะไรทำ ให้เด็กทำไปด้วย เป็นรายได้เล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะอาศัยไปได้ แต่ก็ดูแล้วมันจะเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย (ยิ้ม)”
จะขยายร้านเพิ่มมั้ย?
“ไม่ขยาย แต่จะเน้นไปทางขนมเปี๊ยะแล้ว เพราะขนมเปี๊ยะดูเป็นพระเอก พวกอาหารก็เอาไว้อย่างนี้ คนก็ชอบ อร่อยอะ”
ป๋ากลัวว่าจะเจ๊งอีกครั้งมั้ย?
“ฉันล้มจนไม่รู้จะล้มยังไงแล้ว ใหญ่กว่านี้อีก เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ล้มแบบนี้อีก 10 หนก็ไม่เจ็บปวด ที่เราลงอะไรเยอะๆ ลงไป ไม่กลัวอะไรแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไรหรอก”
แต่คนที่มาวันนี้จนแน่นร้าน เหมือนทุกคนอยากจะมาช่วยอุดหนุนป๋า?
“ก็เป็นอย่างนั้น อาหารก็คงจะอร่อยด้วยแหละ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่พูดต่อหรอก แล้วเค้าก็อยากจะมาคุยกับป๋าบ้าง มาซื้อของ สนับสนุนช่วย ส่วนมากจะมาอย่างนี้เยอะ ทุกคนอยากมาช่วยให้ชีวิตป๋าดีขึ้นซะที เห็นแย่มาเยอะแล้ว โทรศัพท์รับแทบไม่ทันเลย แทบไม่ได้วาง เครียดนิดนึงว่าจะหาแม่ครัวที่ไหนมาทำให้ลูกค้าได้ทัน”
ทุกคนดูพร้อมใจกันมาช่วยป๋า?
“ก็รู้สึกว่ามีกำลังใจ ทุกคนให้กำลังใจเรา ทั้งที่เราก็ท้อเหมือนกันนะ อะไรบางอย่าง แต่ท้อถามว่าหยุดมั้ย เราไม่หยุด ท้อแต่ไม่หยุด เราจะต้องเดินไปอีก แต่ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะเดินอย่างไร หลังจากที่เราเดินครั้งก่อนๆ พลาด จะเดินอย่างไรดีว้า จะเลือกเดินเองก็ไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับว่าต้องเดินไปก่อน พอไปสะดุดแหละถึงจะได้รู้ อ๋อ ไอ้ตรงนี้มันเป็นทางที่ไม่ดีเว้ย อะไรอย่างนี้ จะให้ไปเลือกมันไม่ได้ ชีวิตมนุษย์มันเลือกไม่ได้ มันต้องไปเสี่ยงดูก่อน ไปสัมผัสดูก่อนว่าเป็นยังไง นั่นแหละคือบทเรียนที่ป๋าจำเอาไว้ ก็ใช้ประมาณอย่างนั้นอยู่ตลอดในชีวิต พอเดินเรื่อยๆ ไปทุกวัน เราจะรู้สึกชินทาง เราจะรู้สึกว่าตรงนี้ใช่ ตรงนี้อันตรายนะ ตรงนี้ไม่อันตรายนะ เพียงแต่ว่าเราจำเอาไว้ ไม่แน่ต่อไปเราอาจจะกลับมาอีกก็ได้ หรือเราอาจจะไม่ได้ไป อาจจะส่งต่อให้ลูกหลาน เฮ้ย ทางตรงนั้นมันไม่ดีนะ ตรงนี้มันสะดุดนะ เราอาจจะสอนลูกหลานได้”
...
ที่ตรงนี้เป็นที่เช่าหรือที่ของป๋าเอง?
“ที่นี่ก็เช่าเค้า ไม่มีปัญญาหรอก ก็บอกว่ามันเจ๊งมาจากรามอินทรา ไม่มีอะไรเลย เหลือแต่ของมา (มองไปรอบๆ ร้าน) เห็นเค้าติดป้ายว่าให้เช่า เล็กๆ เดือน 3,000 ก็คงจะดีนะ ถ้าไม่ทำเป็นร้านค้าก็เช่าเป็นห้องนอนก็ได้ ส่วนพวกเตาปิ้งหมูกระทะ ก็ให้หุ้นส่วนไปทั้งหมด ป๋าเอาแค่โต๊ะ ไฟมานิดหน่อย เพราะเค้าเป็นคนออกมาก หมดไป 3 ล้าน ป๋าหมดไป 2 ล้าน เค้าก็ดีนะ ไม่พูดอะไรสักคำ เจ๊งก็เจ๊ง ไม่ถึง 4 เดือนเอง เงิน 5 ล้านกว่าบาท ป๋าก็ไปยืมเงินเค้าไปทั่ว ค่าบรรทุกของมาบางทียังไม่มีเลย เพราะว่าเราต้องหาเงินให้เค้าแสนกว่า กว่าจะเอาของออกมาจากตรงนั้นได้ เพราะเค้าไม่ยอมให้เราเอาออก ติดเงินค่าไฟแสนกว่าเกือบ 2 แสน ป๋าก็ต้องไปวิ่งหายืม เอาของลูกมั่ง ของน้องมั่ง หามา แล้วก็เอาของออกมา มันก็คือของที่เหลือๆ นี่แหละ ร้านนี้ 50 ตารางวาเอง เช่าเค้าเดือนละ 3,000 นอนที่นี่แหละ ห้องพระบ้าง ข้างนอกบ้าง เด็กก็นอนกันเกลื่อนทั่วไปตรงนี้ แต่พวกเราไม่พิถีพิถันในเรื่องการนอน เราเน้นการทำงาน ตื่นเช้ามาป๋าก็จะมานวดแป้งทำปาท่องโก๋”
...
ป๋าไปเรียนทำขนมพวกนี้จากที่ไหน?
“มีอาจารย์มาสอนที่นี่เลย เพราะว่าท่าน ผอ.จากวิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ มีอาจารย์หลายๆ ท่านมาสอนทำขนม ป๋าก็ฝึก ก็พยายามทำ ผิดพลาดไหม้บ้าง เสียบ้าง จนเราเข้าใจ ทดลองทำอยู่ 2-3 ครั้งเอง ทุกอย่างต้องเสมอกัน จะไฟแรงไปก็ไม่ได้ อ่อนไปก็ไม่ได้ ต้องมีการกลับถาดเพื่อให้ไฟมันสม่ำเสมอ เพื่อให้ขนมทุกลูกออกมาสุกเสมอกัน มันถึงจะอร่อย เราก็ต้องหาทางหาเทคนิค ทุกวันนี้ป๋าต้องตื่นตี 3 มาหมักแป้งเพื่อทำปาท่องโก๋ 6 โมงกว่าก็ต้องเริ่มทอด เพราะฉะนั้นแป้งจะต้องหมักไว้ 2 ชั่วโมงครึ่งถึง 3 ชั่วโมง ถ้าเกินก็ไม่ได้เดี๋ยวแป้งจะเหลว เร็วไปก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องตื่นตี 3 พอ 8 โมงครึ่งขายหมด ก็มาปั้นแป้งขนมเปี๊ยะอีก ทำสังขยาจิ้มกับปาท่องโก๋เกลียว ทำซาลาเปาขาย”
...
แล้วกับภรรยา พี่จุ๋ม ที่แยกทางกันไปแล้ว ตอนนี้ยังได้ติดต่อกันบ้างมั้ย?
“เมื่อ 2 วันก่อนเค้าก็มา ลูกก็มา เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับป๋า ให้เค้าลองไปทำในระหว่างนี้อยากจะทำอะไร เพราะในระหว่างนี้เหมือนอยากจะไปทำอะไรรึเปล่า มันเหมือนเป็นอย่างนั้น ป๋าให้เค้าคิดว่าจะทำอะไร ลูกๆ ก็เปิดร้านกาแฟ แม่เค้าก็ช่วยอยู่ที่นั่น ป๋าไม่เคยไปดูที่ร้านแต่เอาของให้ไป พวกโต๊ะ พวกลำโพงจัดให้เค้าไป มีเรื่องอยู่ก็ไม่กล้า ไม่อยากจะไป แต่เมื่อไม่กี่วันเค้าก็มาที่นี่กัน ก็คุยกันอย่างเก่าแหละ อย่าไปถือว่าเลิกกันเลย อายุป่านนี้แล้ว อย่าไปพูดว่าเลิกกัน ง้อกัน มันฟังแล้วตลก อายุจะเข้าโลงอยู่แล้ว มันเป็นเพื่อนกันแล้ว เป็นเพื่อนกันมากกว่า เค้ามาก็คุยกันปกติไม่มีอะไร ต่อไปมันจะเป็นยังไงก็ปล่อยให้อนาคตเป็นตัวตัดสิน”
วันข้างหน้าจะกลับมารวมกันเป็นครอบครัวอีกมั้ยป๋า?
“ไม่รู้ เรื่องของเค้าแล้วตอนนี้ ตอนนี้เค้าก็อยู่กับพี่กับน้องเค้า เรื่องที่จะมาหรือไม่มา ป๋าว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต เราก็คุยกัน ไม่ได้โกรธกัน ถ้ามันจะกลับมาเดี๋ยวก็คงมาเองแหละ รุ่นนี้แล้ว มันไม่ใช่จะมาพูดมาง้อมางอนอะไรกันมากมาย พูดตรงๆ เพราะเราก็มีลูก นั่นก็แม่ของลูก ป๋าก็ให้เกียรติหมด ป๋ามีเมีย 3 คนให้เกียรติหมด”
คนที่กำลังท้อ ป๋ามีข้อคิดอะไรให้มั้ย?
“ไม่รู้ มันบอกยาก แต่สำหรับป๋าชีวิตมันต้องลุย อย่าไปท้อแท้ เพราะมันทำให้เราเสียเวลาเปล่าๆ เหมือนเรากำลังวิ่งแล้วจะมาหยุดคิด มันไม่ใช่ วิ่งแล้วต้องวิ่งไปอีก ล้มแล้วก็ต้องวิ่งไปอีก ชีวิตยังวิ่งไม่ถึงเส้นชัย ฉะนั้นเรื่องการท้อป๋าว่าถ้าลูกผู้ชายต้องใจนักเลง คือไม่กลัว ต้องลุย จะเจ็บปวดแค่ไหน มากน้อยเพียงไร ต้องลุยต้องลอง ไม่รู้ล่ะ ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าพลาดแล้วถึงตายก็ช่างมัน ต้องใจนักเลงกับปัญหาชีวิตหน่อย กล้าเสี่ยง กล้าลองกับมัน อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็น อะไรที่เป็นอุปสรรคก็ต้องรับมัน ต้องแก้มันให้ได้ อย่าไปหนีมัน พวกปัญหาอย่างนี้ต่อไปมันจะกลายเป็นครูเรา แล้วจะสอนให้เราได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง ไอ้ปัญหาที่เรากลัวๆ เนี่ยถ้าเราได้เจอ ได้สัมผัส ต่อไปมันจะเหมือนเป็นเพื่อนเรา มาหนักแค่ไหนก็ไม่กลัวแล้ว”
กิจการครั้งนี้ป๋าตั้งใจไว้อย่างไรบ้าง?
“ไม่ได้ตั้งใจ เพราะมันมีมาแบบฟลุกๆ กะขายข้าวต้มร้านเล็กๆ ให้เด็กได้อยู่ได้กินไป เราก็อาศัยอยู่ไปเท่านั้นเอง ก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว เจ๊งจากร้านหมูกระทะมาก็จบแล้ว เงินทองก็ไปหมดตรงนู้น มาตรงนี้มาแต่ตัวและข้าวของ มานอนกองๆ กันตรงนี้ ฝนตกก็เปียกแฉะ ป๋าเจอมาหมดแล้ว มันก็เลยมองเป็นเรื่องปกติ อย่างทำขนมเปี๊ยะก็ไม่ได้คิดจะทำส่งขาย กะทำขายแค่หน้าบ้าน วันละถาด 2 ถาด ซาลาเปาก็ขายวันละ 50-60 ลูกก็พอ แต่ตอนนี้มันทำไม่ได้แล้ว ทำไงดีวะ (หัวเราะ) ตอนนี้เริ่มงงกับชีวิตว่าจะไปทางไหนดี ขนมก็ทำขายไม่ทัน ลูกค้ามาเยอะ ทำกับข้าวไม่ทันอีก จะเพิ่มคนก็หายาก จะบ้าตาย”
พี่ๆ น้องๆ หลานๆ ในวงการตลก อยากให้กลับไปทำงานในวงการบันเทิงอีก?
“ก็กลับไปเล่นแหละ แต่ให้มันสมราคาหน่อย ให้เกียรติเราหน่อย เอาไปทำตัวอะไรล่ะ ให้กลับไปแต่เอาไปตั้งเป็นตัวอะไรล่ะ ซึ่งเรามีความสามารถได้ถ้าให้เราทำงาน ไม่ใช่ให้เป็นอะไรก็ได้ ก็ไม่ไหว เหมือนทุกวันนี้เล่นเป็นพระ ชั่วโมงนึงออกมาแวบนึง เป็นสุขนะโยมนะ แค่นั้นจบ มันไม่ใช่ คือถ้าเล่นก็ขอให้เป็นบทบาท เรื่องราว ให้เข้าท่าเข้าทาง เป็นตัวเชื่อมเรื่อง เชื่อมพระเอกนางเอก เป็นเรื่องเป็นราวจริงจังหน่อย ป๋าชอบแนวนั้นอยู่แล้ว ตลกก็ขอแนวแบบมือปืนโลกพระจันทร์ มันดูแล้วโอเค ให้กลับไปเล่นตอนนี้มันดูเหมือนเราไม่มีคุณค่า มันเหมือนจะมาทำไม เอาใครไปเล่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเอาป๋าไปหรอก”
คนไม่เข้าใจก็มองว่าป๋าหยิ่ง ป๋ามีศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้เพื่อนๆ ตลกช่วย?
“วงการมันก็อย่างนี้แหละ ไม่เอาความชุ่ยๆ ของมันมาพูดหรอก ก็เล่าแต่คนอื่นชั่ว ตัวเองดี (หัวเราะ) มันไม่ใช่หรอก วงการบันเทิงนี้มันขายเฉพาะคนดัง พวกเด็กๆ พระเอก หน้าขาวๆ อย่างนั้นอะ สักวันหนึ่งจะได้เห็นป๋ากลับไป ถ้าบทมันน่าสนใจจริงๆ ก็เล่นอยู่ ตอนนี้ก็มีอยู่ 2 เรื่อง มีตี๋ใหญ่ดับดาวโจร กับอีกเรื่องกำลังจะถ่ายเป็นบทประพันธ์ของท่าน ว.วชิระ ไม่ได้หยิ่งในศักดิ์ศรีแบบที่หลายคนเข้าใจ แต่ขอกลับไปแบบมีศักดิ์ศรีหน่อย”
ถ้ากลับไปทำงานในวงการแล้วใครจะปั้นขนมเปี๊ยะส่งขาย?
“จะหาเด็กแรงงานต่างด้าวมาทำ สัก 10 คน เอามาปั้นขนมเปี๊ยะอย่างเดียว เค้าสั่งจนจะ 2 พันกว่ากล่อง นี่ส่งไปขายต่างจังหวัดนะเนี่ย โทรเข้ามาถามว่าส่งให้ได้มั้ย เค้าก็แนะนำให้ส่งทางไปรษณีย์ ค่าส่งเค้าออกเอง ตอนนี้กำลังจะหาเช่าบ้าน ทำขนมเปี๊ยะโดยเฉพาะ ที่เน้นตรงนี้เพราะขนมเปี๊ยะดูไปได้ไกลกว่า ดูจากความสนใจของคนที่เค้าโทรมา”
ในตลอดชีวิตที่ผ่านมา 66 ปี ทำธุรกิจล้มลุกคลุกคลานมาตลอด กิจการไหนที่ป๋าเสียใจที่สุด?
“ไม่ล่ะ มันชินแล้ว (ยิ้ม) การร้องไห้เสียใจมันไม่ใช่นิสัยป๋าหรอก มันเจอมาเยอะ คิดมาบ่อย เจออีก มันเป็นปกติแล้ว ไม่รู้จะคิดทำไม ปล่อยๆ มันไปดีกว่าว่ามันจะดีหรือไม่ดี แล้วค่อยคิดต่อยอด รอให้มันเป็นก้อนก่อน เมื่อไหร่ที่มันเป็นลมๆ แล้งๆ อย่าเพิ่งไปคิดมัน ปล่อยไปตามวิถีที่เค้าลิขิตมาดีกว่า ถ้าเราไปดิ้นมากเกินไปมันจะพลาดได้ มันกะยาก ต้องไปตามเวลาของเค้าที่ให้มามันถึงจะเข้าล็อก สังเกตแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำใจแล้ว ถ้าเราทำได้อย่างที่บอกมันจะทำให้ใจเราเย็นขึ้น ถ้าใจร้อนก็จะเหมือนเก่าคือเจ๊ง”
หากหัวใจของนักสู้คือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจของชายคนนี้คงมีเนื้อมากกว่าขุนเขาและมหาสมุทรรวมกัน "ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อท้อแท้" บทสรุปที่ ป๋าเทพ โพธิ์งาม คงอยากจะบอกทุกคน