แม่ร้องสื่อ วอนช่วยลูกสาววัย 1ปี 6เดือน ป่วยเป็นโรคนิทรา หวังพึ่งพาผู้ใจบุญเข้าช่วย หลังไม่มีอาการตอบสนอง ต้องให้นมทางสายยาง บอกอยากนำลูกรักษาแพทย์เฉพาะทางแต่ไม่มีเงิน...

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 ต.ค.58 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 25/1 หมู่ที่ 1 ต.ตำหนักธรรม อ.หนองม่วงไข่ จ.แพร่ หลังจากที่นางวาสนา ท้าวถึง อายุ 36 ปี ได้เข้าร้องต่อสื่อมวลชนเพื่อต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องของลูกสาววัย 1ขวบ 6เดือน ชื่อ ด.ญ.กัญญารัตน์ สองเป็ง ซึ่งป่วยมาตั้งแต่เกิด เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ลูกสาวเกิดออกมาด้วยวิธีผ่าตัด ก็เกิดมีอาการชัก แพทย์ได้ทำการรักษามาโดยตลอด จนกระทั่งเวลา 1 ปีผ่านมา ตนก็ได้นำลูกสาวมาอยู่บ้าน ได้ปรึกษาไปหลายแห่ง บางคนก็บอกว่าน่าจะเอาลูกไปรักษาตามโรงพยาบาลที่รักษาได้เฉพาะทาง โดยอาการของลูกสาว มีการเคลื่อนไหวตัวแต่ตาไม่กะพริบ ไม่ตอบสนองใดๆ ต้องให้นมผ่านทางสายยาง ตอนนี้ไม่ตายก็เหมือนตาย บางครั้งก็ทำให้ท้ออยากฆ่าตัวตายไปพร้อมลูก ส่วนสามีก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่ลูกสาวเกิดออกมา ฐานะทางครอบครัวก็ยากจน ตอนนี้อาศัยแม่ ไม่สามารถออกไปไหนได้ไกลมาก เนื่องจากจะทิ้งลูกไว้คนเดียวไม่ได้

"ต้องการนำลูกไปตรวจรักษากับหมอเฉพาะทางเรื่องสมอง เพื่ออยากทราบว่าจะรักษาได้หรือไม่ สงสารลูกเคยทำเรื่องขอความช่วยเหลือไปยัง อบต.ตำหนักธรรม อ.หนองม่วงไข่ แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ โดยอ้างว่าต้องทำตามขั้นตอน จึงได้ทำเรื่องขอรับเบี้ยคนพิการตั้งแต่ก.ย.57 และได้รับเมื่อ 1 ต.ค.58" นางวาสนา กล่าว

...


ด้าน น.ส.อัญชัน หวังระบอบ ผู้อำนวยการศูนย์บริการคนพิการจังหวัดแพร่ สำนักพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เผยว่า จะประสานไปยังโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบถึงการรักษาน้องว่าจะต้องไปรักษาที่ไหนตามที่คุณแม่ต้องการ และทางศูนย์จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทาง และจะได้ประสานหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแล

นายอนงค์ เจริญวัย หัวหน้าบ้านพักเด็กและคนชราจังหวัดแพร่ ได้มอบเงินและสิ่งของเพื่อเป็นการบรรเทาร่วมกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และได้รับปากกับแม่ของน้องว่าจะเร่งตรวจสอบแพทย์เฉพาะทางให้ และจากการตรวจสอบและสอบถามไปยังโรงพยาบาลหนองม่วงไข่ก็ทราบว่า น้องมีอาการติดเชื้อทางมารดา และแพทย์ได้ให้การช่วยเหลือมาโดยตลอดไม่ได้ทอดทิ้ง ซึ่งเป็นธรรมดาที่คุณแม่ต้องการให้ลูกหายจากโรค แต่ต้องใช้เวลา ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายก็ได้พยายามให้การช่วยเหลือแล้ว.