อย่าเอาแต่จะรีดเลือดกับปู!! การบริหารยุคใหม่ต้องตามให้ทันกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับไวรุดหน้า บริษัทไฮเทคทั้งหลายที่รวมตัวกันอยู่ในซิลิคอน วัลเลย์ ซึ่งเป็นผู้นำเทรนด์ของโลก กำลังแข่งกันส่งเสริมให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตดีที่สุด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ากองทัพจะเข้มแข็งไม่ได้ ถ้าขาดคนเก่งมีคุณภาพ และคนเก่งมีคุณภาพนี่เอง คืออาวุธสำคัญในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในทุกสมรภูมิ
การจะมัดใจพนักงานไม่ได้เกี่ยวกับการทุ่มเทเงินทองอย่างที่คิด จนนายทุนทั้งหลายต้องดีดลูกคิดกันหน้านิ่วคิ้วขมวด หลายๆนโยบายไม่ต้องใช้เงินมากมายอะไรด้วยซ้ำ แต่ได้ใจลูกจ้างไปเต็มๆ เพราะแสดงออกให้เห็นว่านายจ้างมีน้ำใจจริง และเข้าใจถึงหัวอกของคนเป็นลูกจ้าง
ซีอีโอโลกไฮเทคตีโจทย์แตกเลยว่า คนจะทำงานได้ดี และทุ่มเทกำลังแรงกายแรงสมองอย่างเต็มที่ ก็ต่อเมื่อปราศจากภาระความห่วงใยที่มีต่อครอบครัว เพราะฉะนั้นอะไรที่ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องครอบครัวได้ ผู้บริหารในซิลิคอน วัลเลย์ ย่อมไม่ลังเลใจที่จะออกเป็นนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม
ล่าสุด ก็ได้ใจพนักงานไปเต็มๆ อีกแล้ว เมื่อเหล่าบริษัทไฮเทคอย่างน้อย 13 แห่ง ในอเมริกา นำขบวนโดย เน็ตฟลิกซ์, กูเกิล, เฟซบุ๊ก, ไมโครซอฟท์, ทวิตเตอร์, เรดดิท, อะโดบี้ และยาฮู ออกมาประกาศนโยบายใหม่ ให้สวัสดิการพนักงานหญิงลาคลอดบุตรได้ยาวถึง 1 ปีเต็ม โดยที่ยังได้รับค่าจ้างทุกเดือน!! จากเดิมที่กฎหมายแรงงานของอเมริกากำหนดให้คุณแม่มีสิทธิลาคลอดได้ 3 เดือน พร้อมรับค่าจ้างตามปกติ ซึ่งก็เป็นมาตรฐานเดียวกับประเทศเล็กๆอย่างเมืองไทย
แม่เจ้าทำไมถึงใจกว้างขนาดนี้ ก็เพราะซีอีโอของบริษัทไฮเทคในอเมริกามองขาดว่าคนเป็นแม่ทุกคนอยากทุ่มเทเวลาเลี้ยงดูลูกน้อยอย่างใกล้ชิดที่สุดในช่วงขวบปีแรก การออกนโยบายนี้ทำให้คุณแม่ๆหมดกังวลทั้งเรื่องการบริหารเวลาและเงินทองในการสร้างครอบครัว เมื่อครบกำหนดลาคลอดกลับมาทำงานแล้ว คราวนี้ก็จะมีพละกำลังลุยงานสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้บริษัทเต็มที่
...
การที่ลูกน้องของเราตั้งท้องถือเป็นข่าวดีที่ต้องร่วมกระโดดโลดเต้นดีใจ ไม่ใช่คิดอย่างคับแคบว่าแล้วใครจะทำงานให้เราล่ะ ขอให้คิดซะใหม่ ลูกน้องไม่ใช่เบ๊ไว้จิกใช้ และเวลาหัวหน้าได้รับคำชมก็ต้องให้เครดิตลูกน้อง เพราะพวกเขาคือทีมเวิร์กสำคัญที่ขาดไม่ได้
เห็นเพื่อนๆในวงการไฮเทคใส่เกียร์เดินหน้าสนับสนุนเรื่องนี้ขาใหญ่อย่าง “บิล เกตส์” และ “เมลินดา เกตส์” ก็ต้องลุกขึ้นขยายผลให้ฮือฮาขึ้นไปอีก โดยนำนโยบายลาคลอดบุตรได้ 1 ปีเต็ม มาบังคับใช้กับพนักงานของ “มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์” ด้วย ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ โดยนายหญิงของมูลนิธิ ซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสาม ให้เหตุผลน่าฟังว่า สำหรับผู้หญิงเรา ครอบครัวต้องมาก่อน การตัดสินใจส่งเสริมนโยบายนี้ถือเป็นการลงทุนกับสังคมที่คุ้มค่าที่สุด เพราะเมื่อเราลงทุนกับผู้หญิงและเด็ก ก็เท่ากับเราลงทุนสร้างอนาคตที่สดใสและมีคุณภาพขึ้นสำหรับทุกคน ที่สำคัญยังเป็นการเปิดโอกาสให้เวิร์กกิ้งมัมทั้งหลายไม่ต้องหนักใจเลือกระหว่างความก้าวหน้าด้านอาชีพการงานกับครอบครัว แต่สามารถสร้างสมดุลให้ชีวิตทั้งสองด้านไปพร้อมๆกัน
สำหรับคนเก่งมีคุณภาพ ถ้าชีวิตดีมีความสุข ก็จะยิ่งทุ่มเทสมองและกำลังในการทำงานแบบถวายหัว อย่าขี้เหนียวใจร้ายกับพวกเขาเลย!! ส่วนพวกทำงานเช้าชามเย็นชามเกาะกินองค์กรไปวันๆก็เช็กบิลซะ...มัวแต่ลังเลอะไรอยู่?!
มิสแซฟไฟร์