“แม้ไม่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่แม่ให้ได้ทุกอย่างเพื่อลูก” คำพูดจาก ถวิล เช้าเที่ยง หรือ แม่หนิง ร้อยมาลัยส่งลูกชาย ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ ดร.เป็ด เรียนจบดอกเตอร์จนได้มาเป็นนักวิจัยไบโอเทค แห่ง สวทช.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ออกเดินทางไปยังเมืองโอ่ง หรือ จ.ราชบุรี โดยในวันนี้จะพาผู้อ่านไปสัมผัสเรื่องราวชีวิต ความรัก ความหวังดี ระหว่างแม่หนิง ถวิล เช้าเที่ยง และลูกเป็ด เรื่องราวความสัมพันธ์ การเลี้ยงดูลูกอย่างไรกว่าจะมาเป็นดอกเตอร์ แม้ ดร.เป็ด จะไม่ได้อยู่ถ่ายทอดความรักของแม่ แต่แม่หนิงจะขอเป็นตัวแทนของลูกชายเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของทั้งคู่...

ถวิล เช้าเที่ยง แม่ผู้สู้ชีวิตเพื่อลูก ชื่อของถวิล ถูกยกย่องจากใครหลายคน เนื่องจากเป็นมารดาของบุคลากรคุณภาพระดับประเทศ นั่นคือ ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ ดร.เป็ด นักวิจัยไบโอเทค แห่ง สวทช.

แม่คนนี้ที่ไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า เป็นแค่เพียงชาวบ้านธรรมดาร้อยพวงมาลัยขายเลี้ยงปากท้อง รวมทั้งลูกชายคนเดียวของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด ดร.เป็ด แต่เธอก็ให้ความรักเหมือนดั่งลูกแท้ๆ เธอบอกว่า ‘เพราะเรามีกันอยู่สองคนแม่ลูก’

แม่แท้ๆ ของดร.เป็ด เป็นลูกของพี่ชายแม่หนิง และด้วยความจำเป็นบางอย่าง จึงยก ดร.เป็ด มาให้เป็นลูกแม่หนิงตั้งแต่มีอายุได้ 8 วัน โดยมีการเซ็นโอนเป็นลูกบุญธรรมตามกฎหมาย และด้วยตัวของแม่หนิงไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก เธอจึงฟูมฟักเลี้ยงดูเด็กชายตัวน้อยดั่งลูกที่เบ่งออกมาเอง

...

ลูกป่วยหนัก แม่วิงวอนหมอ ‘ฉันคนจน รักษาลูกฉันหน่อยนะ’

ย้อนอดีตไปในช่วงที่ ด.ช.เป็ด มีอายุเพียงไม่กี่ขวบ สมัยนั้นสถานะทางครอบครัวของสองแม่ลูกยากจนมาก แม่หนิงไม่มีเงินที่จะซื้อนมผงดีๆ ให้ลูกชายกิน เธอจึงต้องเลี้ยงลูกด้วยนมถุงๆ ละ 10 สลึงในตอนนั้น และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ด.ช.เป็ด ดื่มนมถุงไม่หมดจึงเอาใส่ตู้เย็นไว้ดื่มต่อตามประสาคนมัธยัสถ์ แต่หารู้ไม่ว่านมถุงนั้นเสีย พอดื่มต่อก็ทำให้เด็กชายตัวเล็กโอดครวญปวดท้อง หัวอกคนเป็นแม่ทนเห็นลูกน้อยนอนทรมานไม่ได้ จึงอุ้มลูกพาไปหาหมอที่คลินิกในเมือง

“ฉันบอกหมอว่าฉันเป็นคนจน ช่วยหายาดีๆ มารักษาลูกฉันหน่อย ฉันขายดอกไม้คนเดียวไม่มีคนช่วย อย่าเอาลูกฉันไปนอนโรงพยาบาลเลยฉันไม่มีเงินไปรักษา หมอแกก็ดีมากช่วยรักษาลูกชายฉัน และบอกว่าถ้ายังไม่หายพรุ่งนี้ให้มาหาหมอใหม่ ตอนนั้นฉันเสียเงินไป 170 บาท หลังจากนั้น ก็พาลูกกลับไปที่ตลาดเพราะฉันต้องขายดอกไม้ และเจ้าเป็ดเห็นคนถือข้าวหมูแดงเดินผ่านมา แล้วพูดกับฉันว่า แม่หนูจะกินนี่ ฉันเลยบอกกับลูกไปว่า อย่าเพิ่งกินนะลูก หมอให้กินได้ตอนเที่ยง เขาก็ไม่งอแง พอกินข้าวหมูแดงไม่ได้เขาเลยชี้ไปที่แอปเปิ้ล ลูกละ 15 บาท แต่เราไม่มีเงิน ฉันก็บอกลูกว่ามันแพง อย่าไปกินเลยลูก เขาก็ฟัง เป็ดเขาไม่ได้เป็นเด็กดื้อ” แม่หนิงเล่าพลางนึกถึงลูก

ก้าวเล็กๆ ของ ด.ช.เป็ด สอบติดโรงเรียนดัง

ด้วยบุคลิกเด็กตัวเล็กๆ น่าเอ็นดู ประกอบกับความตั้งใจเรียน พากเพียรพยายามอย่างมาก ทำให้อาจารย์บุญมา ซึ่งสอนอยู่ที่ร.ร.เบญจมราชูทิศราชบุรี อาสาเป็นครูสอนพิเศษให้ ด.ช.เป็ด แบบฟรีๆ ไม่คิดเงิน และคอยช่วยเหลือครอบครัวเช้าเที่ยงมาโดยตลอด กระทั่ง ด.ช.เป็ด สอบเข้า ม.4 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนอันดับ 1 ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้

...

เมื่อถึงวันที่นักเรียนจะต้องไปมอบตัวเพื่อเข้าเรียนชั้น ม.4 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ นั้น ครอบครัวเช้าเที่ยงก็ต้องไปด้วยเช่นกัน แม่หนิงเลือกใส่ชุดที่สวยที่สุดเท่าที่พอจะมีในตู้เสื้อผ้า พาลูกชายคนเดียวของเธอไปมอบตัวเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ ขณะนั้น อยู่ระหว่างการจ่ายเงินค่าเทอม ครูได้ถามขึ้นมาว่า นักเรียนเรียนอยู่สายอะไร เด็กชายบอกครูว่า อยู่สายวิทย์ครับ ครูหันไปมองหน้าแม่หนิงและลูกชายสลับกัน ก่อนที่เด็กชายจะจ่ายเงินทั้งหมด 1,800 บาทเป็นค่าใช้จ่ายทั้งชุดนักเรียน หนังสือ และค่าเทอม เมื่อเดินออกมาจากห้องที่จ่ายเงิน แม่หนิงหันไปถามลูกชายว่า ‘เป็ดสายวิทย์มันคืออะไรหรอลูก ทำไมเขาถึงได้มองหน้าแม่สลับกับมองหน้าเป็ดล่ะ’ ลูกชายตอบกลับแม่ว่า ‘ก็สายวิทย์คือสายที่เรียนดีที่สุดไงแม่’ แม่หนิงอมยิ้มให้กับลูกชายคนเก่งของตัวเอง

“ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะเรียนเก่งอย่างนี้นะ แล้วเขาเรียนโรงเรียนเบญฯเขาก็ได้ประกาศนียบัตรเต็มเลย ฉันมารื้อดูตอนหลังแล้ว เขาเป็นเด็กไม่ขี้โม้โอ้อวดตัวเองกับใครๆ แม้แต่ฉันเอง แต่มีอยู่วันหนึ่งตอนเรียนอยู่วัดมหาธาตุ ป.5 เขาไปสอบที่หนองโพและบอกฉันว่า แม่หนูสอบธรรมะวันมาฆบูชาได้ที่ 30 ถ้าหนูได้ที่ 1 นะหนูจะเอาวัวมาฝากแม่ตัวนึง วัวหนึ่งตัวเราก็ขายได้สองสามพันนะแม่ เขาว่างั้น (หัวเราะ)” แม่หนิง ขำปนเอ็นดูในความใสซื่อของลูกชาย

...

เด็กผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำให้แม่ของเขาต้องผิดหวังในเรื่องเรียน และเรื่องขอเงินก็เช่นเดียวกัน ลูกชายของแม่หนิง ไม่เคยระบุว่าจะขอเงินจำนวนเท่านี้ๆ แล้วแต่แม่จะให้ตลอด ซึ่งตอนที่เรียนอยู่กรุงเทพฯ ค่าเรียนพิเศษแพงมาก 4,000-6,000 บาท แต่ด้วยหัวอกความเป็นแม่อยากจะให้ลูกมีความรู้มีแต่สิ่งดีๆ แม่หนิงก็หาเงินมาให้ไปเรียนพิเศษจนได้ พร้อมพูดกับลูกชายสุดที่รักว่า ‘เป็ดตั้งใจเรียนนะลูก ขอให้เป็ดได้เรียนที่ดีๆ แม่หาเงินให้ลูกได้ทั้งนั้นแหละ’

...

หัวดี พากเพียร จากเด็กวัดสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศ

ด.ช.เป็ด เป็นเด็กหัวดี มีความมุมานะ ขยันตั้งใจเรียนตั้งแต่เรียนโรงเรียนวัด และตอนที่เรียนอยู่ ร.ร.เบญจมราชูทิศราชบุรี สามารถสอบได้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่แม่หนิงไม่ให้ไปเกรงว่าจะเสียเวลาเรียนเพราะไปแค่ไม่กี่เดือน ทำให้เด็กชายตัวน้อยร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่ แม่หนิง บอกกับลูกชายว่า 'เป็ด เราเป็นคนจนนะลูก เชื่อแม่เถอะ ถ้าหนูไปแบบจริงๆจังๆแม่จะให้ไป' เด็กชายตัวน้อยเลยยอม แต่แล้วความเป็นเด็กหัวดี ทำให้สอบได้ทุนอีกรอบ แต่แม่หนิงก็ยังไม่ยอมให้ลูกชายไปเรียนเมืองนอก ด้วยความเสียใจทำให้เด็กชายตัวน้อยนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นข้างตัวแม่ทั้งคืน

ตื่นเช้ามาหัวใจลูกผู้ชายยังไม่ยอมแพ้ เดินหน้าอ้อนแม่ตั้งแต่เช้าทั้งกอดทั้งหอมอ้อนแล้วอ้อนอีก แต่ไม่ได้ผลแม่หนิงยังคงยืนกรานไม่ยอมเช่นกัน พอตอนบ่ายสาม ด.ช.เป็ดหิ้วกระเป๋ามาหาแม่ที่ตลาด บอกว่าจะไปนอนค้างกับเพื่อนที่กรุงเทพฯ เพราะว่ากลุ้มใจเรื่องที่ไม่ได้ไปเมืองนอก แม่หนิงเรียกลูกชายคนเดียวของเธอมานั่งข้างๆ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน ท้ายที่สุดด้วยความรักลูกสุดหัวใจ แม่หนิงบอกกับลูกชายว่า 'เป็ดอยากไปเมืองนอกแน่ใช่ไหมลูก งั้นไปเลยแม่อนุญาตแล้ว' เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมามองแม่พร้อมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่สองแม่ลูกจะนั่งรถไปกรุงเทพฯ เพื่อพูดคุยกับเจ้าของโครงการ

“ฉันพูดกับคุณเอกสิทธิ์ว่า คุณอย่าทำให้ลูกฉันเสียคนนะ เดี๋ยวถ้าไปเสียคนนี่ตายเลย เมืองนอกยาเสพติดเยอะ ฉันกลัวเป็ดจะติดยามาก สมัยก่อนผงขาวมันเยอะ อันตรายกว่ายาม้าอีก คุณเอกสิทธิ์เขาก็เอ่ยขึ้นว่า พี่จำผมให้ดีนะ ใช้เงินผมเยอะ ผมต้องเป็นคนดูแล ไม่ต้องกลัวเสียคนครับ ผมต้องคัดแล้วอย่างดี ฉันก็เลยบอกว่า ไปก็ไป เจ้าเป็ดมันดีใจกอดฉันใหญ่เลย นั่งรถทัวร์ไปด้วยกัน กอดฉันมาตลอดทาง (หัวเราะ)” ผู้เป็นแม่เล่าอย่างมีความสุข

แม่ทุ่มสุดตัว เงินก้อนสุดท้ายส่งลูกเรียนเมืองนอก!

ก่อนที่ลูกชายตัวน้อยจะไปเมืองนอก แม่หนิงใช้เงินเก็บจากการร้อยมะลิจนเจ็บหลังพาลูกชายไปซื้อของเพื่อเตรียมตัวไปเมืองนอก แม่หนิงถ่ายทอดความรู้สึกในตอนนั้นให้ฟังว่า “เป็ดซื้อของอะไรแบบนี้แม่ไม่เคยเห็นเลย กระเป๋าเดินทางใบละ 3,000 บาท ใบเบ้อเร่อเลย เป็ดจะยกไหวหรอลูก เป็ดบอก มันมีล้อแม่ไม่เป็นไร ไอ้ฉันทำท่าจะร้องไห้เดินซื้อของไป ฉันก็จะร้องไห้ใช้เงินวันเดียวเกือบหมื่น แต่ด้วยความรักก็ไม่กล้าไปขัดจะซื้อก็ซื้อกัน ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร เงินหมื่นก็เป็นเงินที่เราหามาเองด้วยน้ำพักน้ำแรง เราทุ่มให้หมด ก็เขาเป็นลูกชายคนเดียวของเราอยากให้เขาได้สิ่งดีๆ แล้วก็มีเงินอีกส่วนให้เขาติดตัวไปใช้ที่นู่นด้วย”

ลูกชายคนเก่งของแม่หนิงได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาตรี และยังได้ทุนเรียนต่อปริญญาโท ปริญญาเอก ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อเรียนจบปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ในเดือนมกราคม 2549 ดร.เป็ด ได้กลับมาเริ่มงานที่ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมโปรตีนลิแกนด์และชีววิทยา โมเลกุล หน่วยวิจัยชีววิทยา ไบโอเทค สวทช.

“ลูกฉันดีจริงๆ นะ ฉันบอกเขาว่าแม่ดีใจมาก แม่ไม่คิดว่าลูกจะเป็นดอกเตอร์ได้ ไม่เคยคิดไม่เคยใฝ่ฝัน” แม่หนิง เล่าด้วยความปลื้มใจ

สูญสิ้นเด็กชายตัวน้อย หัวอกแม่แทบสลาย

หลังจากที่ ดร.เป็ด กลับมาจากอังกฤษ ได้บอกให้แม่หนิงเลิกขายพวงมาลัย ซึ่ง ดร.เป็ดได้ส่งเงินมาให้แม่หนิงใช้ทุกเดือนๆ ละ 8,000 บาท แต่แม่หนิงกลับปฏิเสธว่า แม่ยังทำไหวก็ทำไปเรื่อย และเขาได้ให้สัญญากับแม่ว่า “แม่รออีกหน่อยเดี๋ยวหนูจะซื้อบ้านเอาแม่ไปอยู่ให้มันดีกว่านี้ รออีกหน่อยนะแม่ เพราะเราคนจนไม่ใช่คนรวย เราจะไปเอาอะไรรวดเร็วมันก็ไม่ได้”

ต่อมา เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2553 ดร.เป็ด ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บนทางด่วนโทลล์เวย์ช่วง ม.เกษตรฯ เสียชีวิต หลังจากกลับมาจากต่างประเทศได้ 4 ปีเท่านั้น แม่หนิงเล่าว่า “มีตำรวจโทรมาบอกว่าลูกฉันเกิดอุบัติเหตุตาย ฉันไม่เชื่อ ลูกฉันเป็นคนดี ฉันก็เลยให้หลานอีกคนที่อยู่กรุงเทพฯ ไปดูว่าใช่พี่เป็ดหรือเปล่า หลานบอกว่าใช่ ตอนนั้นฉันเสียใจจนพูดอะไรไม่ออกเลย เฮ้อ ชีวิต”

ลางบอกเหตุ หมอดูสั่งห้ามไปงานศพ งานแต่ง เยี่ยมคนป่วย

เสร็จสิ้นจากงานศพลูกชาย แม่หนิงได้ค้นกระเป๋าเงินของดร.เป็ด พบกระดาษอยู่แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษที่เขียนเรื่องดวง เนื้อความในกระดาษใบนั้นระบุไว้ว่า ห้ามไปงานศพ ห้ามไปเยี่ยมคนไม่สบาย ห้ามไปงานแต่งงาน และหากพ้นอายุ 33 ไปได้ ขึ้นอายุ 34 จะเจอแต่สิ่งดีไปตลอดชีวิต หลังจากอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นจบ น้ำตาคนเป็นแม่ค่อยๆ ไหลออกมา เมื่อนึกย้อนอดีตไปก่อนที่ลูกชายจะลาโลก ดร.เป็ด มางานศพ งานแต่ง มาเยี่ยมคนไม่สบายทั้งนั้น

“เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน ปี 2553 เขากลับมางานแต่งเพื่อนที่ตลาด นัดกันไว้ว่าช่วงปีใหม่จะมาทำบุญกัน เขาก็มาตายเสียก่อนตอนเดือนธันวาคม ลูกฉันดีไม่เคยไปทำอะไรให้ใครทำไมต้องมาเป็นลูกฉันที่ตายด้วย ถ้าลูกฉันอยู่อะไรๆ มันคงดีกว่านี้ ฉันอายุตั้ง 67 แล้ว คนอายุขนาดนี้โดยทั่วไปฉันไม่ต้องทำงานอะไรแล้ว แต่ทุกวันนี้ฉันต้องนั่งร้อยมะลินั่งนานจนขาแข็งเดินไม่ได้ไปพักหนึ่ง ถ้าลูกฉันอยู่ฉันคงไม่มาลำบากแบบนี้หรอก ฉันแค่อยากอยู่บ้านกับลูก พอลูกกลับจากทำงานฉันก็ทำกับข้าวให้เขากิน เป็ดอยากกินอะไรลูก แม่รอทำกับข้าวให้กิน เราสองคนแม่ลูกนั่งกินข้าวด้วยกันเท่านี้แหละสิ่งที่ฉันอยากจะทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ ฉันไม่ได้ต้องการเงินทองหรือต้องมีชีวิตที่ร่ำรวย ขอแค่ได้อยู่กับลูกก็พอแล้ว” หัวอกคนเป็นแม่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

"ชาติหน้ามีจริงขอให้เป็ดเกิดมาเป็นลูกแม่นะ" ประโยคสุดท้ายที่แม่หนิงพูดกับลูกชายก่อนส่งดวงวิญญาณขึ้นสู่สรวงสวรรค์

**** ล้อมกรอบ ****

แม่หนิง ขายพวงมาลัยอยู่ในตลาดทรัพย์สินราชบุรี ซอยตรงข้ามร้านเครื่องเขียนรุจิระภัณฑ์หรือธนาคารกรุงเทพ

อ่านต่อ