ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 2038/2552, 206/2553 ระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายสมคิด หอมเนตร กับพวกรวม 21 ราย
ยื่นฟ้อง...รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมทางหลวง บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) คณะรัฐมนตรี กรมทางหลวง และกระทรวงคมนาคม ต่อศาลปกครองกลาง
เรื่อง...เป็นหน่วยงานหรือเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีการร่วมกันเห็นชอบและอนุมัติการแก้ไขบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัมปทาน ฉบับที่ 3/2550
ศาลพิเคราะห์ข้อมูล หลักฐานที่ผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องนำเสนอแล้วเห็นว่า การบันทึกแก้ไขเปลี่ยนแปลง สัญญาสัมปทานทางหลวง ในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต...ตอนดินแดง– ดอนเมือง ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2532 (แก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยบันทึกข้อตกลงฉบับที่ 1...วันที่ 27 เมษายน 2538 ฉบับที่ 2...วันที่ 29 พฤศจิกายน 2539)
ฉบับที่ 3...วันที่ 12 กันยายน 2550 ตามมติคณะรัฐมนตรีสมัย ดร.ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 11 เมษายน 2549 และสมัย พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ วันที่ 10 เมษายน 2550 ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหก เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) เพียงฝ่ายเดียว
และ...การจัดเก็บค่าผ่านทางสร้างภาระให้ประชาชน ผู้บริโภค ผู้ใช้ทางยกระดับเกินสมควรจึงเป็นการไม่เหมาะสม ในการยกเลิกผลประโยชน์การตอบแทนรัฐให้แก่เอกชน ขยายอายุสัมปทานออกไปอีก 27 ปี
ยอมให้เอกชนมีอำนาจเหนือรัฐ...กำหนดราคาล่วงหน้า...ขึ้น ราคาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ทำให้...“รัฐ” และ “ประชาชน” ได้รับความเสียหาย
ดังนั้น มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 11 เมษายน 2549 เฉพาะส่วนรับทราบข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนของบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง และมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 เมษายน 2550 เฉพาะส่วนที่ให้ความเห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานทางหลวง ฉบับที่ 3/2550 วันที่ 12 กันยายน 2550 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
...
รศ.ดร.สุธรรม อยู่ในธรรม คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย บอกว่า กรณีนี้มีความชัดเจนในทางกฎหมายว่า สัญญาสัมปทานเป็นสัญญาที่มีลักษณะให้บริการสาธารณะโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาช่องทางจราจร จึงเป็นสัญญาทางปกครอง
หากมีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การขึ้นค่าผ่านทาง” ย่อมถือเป็นคำสั่งทางปกครอง
“ผลของคำพิพากษาชี้ให้เห็นว่าข้อกฎหมายที่จำกัดอำนาจรัฐใช้ไม่ได้ นั่นก็คืออำนาจในการกำหนดอัตราค่าผ่านทาง เพราะฉะนั้นนัยทางกฎหมายหรือการกำหนดอัตรานั้นไม่ชอบ ซึ่งสำคัญมากทั้งกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมต้องแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยอีก
ที่สำคัญ...ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญในการทำสัญญาต่างๆที่กำลังจะมีระบบคมนาคมต่างๆที่จะทำในขณะนี้ การเขียนสัญญาต่างๆต้องรอบคอบไม่ล่วงล้ำอำนาจหน้าที่ที่รัฐบาลมีตามกฎหมายและต้องเอื้อประโยชน์ให้ประชาชน”
ชัยรัตน์ แสงอรุณ ทนายความและกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เสริมว่า คำวินิจฉัยของศาลในครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างคดีที่สำคัญของรัฐกับความล้มเหลวในการทำสัญญาร่วมกับเอกชนที่ไม่โปร่งใส
“ยอมยกผลประโยชน์รัฐ...ให้เอกชนในทุกๆด้าน สร้างภาระให้ประชาชน และผู้บริโภค คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง ที่กระทำการแล้วเอื้อประโยชน์เอกชน ย่อมมีความผิดในการทำหน้าที่ไม่ชอบและสามารถร้องต่อ ป.ป.ช.ได้”
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ย้ำว่า คดีนี้... ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนในคำพิพากษาว่า สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับการคุ้มครอง ตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จากกรณีการเก็บค่าผ่านทางที่ไม่เป็นธรรม
จี้หัวใจไปที่...“มติคณะรัฐมนตรี ในการแก้ไขสัญญาสัมปทานทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือดอนเมืองโทลล์เวย์...ครั้งที่ 2 ในปี 2539” สารี ว่า
“ที่รวมเอาสัญญาสัมปทานเดิม...ตอนดินแดง–ดอนเมือง รวมกับส่วนต่อขยาย...ดอนเมือง–หน้ากองทัพอากาศ โดยปรับราคาขึ้นและขยายอายุสัญญาสัมปทานให้เอกชนเพิ่มอีก 25 ปี ซึ่งจะครบในปี 2564”
และ ครั้งที่ 3 ในปี 2550 ที่ขยายอายุสัญญาสัมปทานออกไปอีก 27 ปี ซึ่งจะครบในปี 2577...เป็นมติคณะรัฐมนตรีที่เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนเพียงฝ่ายเดียว
“โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย ที่ยอมยกอำนาจของรัฐให้เอกชน ทั้งในส่วนการขึ้นราคาโดยไม่ต้องขออนุญาต การสละสิทธิการฟ้องคดี ยกเลิกผลประโยชน์ที่ต้องตอบแทนคืนรัฐ ยกเลิกการก่อสร้างงานต่างๆที่ขัดประโยชน์กับเอกชน
ผลจากการ “ทำสัญญา” ที่ให้ประโยชน์กับเอกชนฝ่ายเดียวแบบนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการอุทธรณ์คดี และเร่งดำเนินการเรียกเงินคืนจากบริษัทเอกชนที่สร้างภาระเกินสมควรและไม่เหมาะสมให้กับผู้บริโภค
ในความเสียหายจำนวน 2,020 วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,121,056,540.00 บาท
พร้อมกันนี้ให้รัฐบาลมีมาตรการให้บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้กลับไปใช้อัตราค่าผ่านทางในอัตราเดิมก่อนมีการแก้ไขสัญญา
นั่นคือ 35 บาท...สำหรับรถสี่ล้อ และ 65 บาท...สำหรับรถเกินหกล้อ จนกว่าจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น
บุญยืน ศิริธรรม ในฐานะกรรมการคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน ให้ความเห็นว่า ผลการตัดสินถือว่าเป็นบรรทัดฐานในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภค และสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการต้องให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคเกิดขึ้น
ประเด็นสำคัญที่ต้องพูดกันในวันนี้ กรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยหน่วยงานรัฐ ซึ่ง “คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” หรือ “สคบ.” ทำหน้าที่นี้ไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจตรวจสอบหน่วยงานรัฐ
...
“อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรผู้บริโภคจะติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดและใช้ทุกหนทางในการเรียกคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนทั้งการฟ้องคดีแบบกลุ่ม หรือคลาสแอ็กชั่น การร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เพื่อเอาผิดต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
ทั้งหมดเหล่านี้สะท้อนชัดแล้วว่า...ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “องค์การอิสระ”...เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค.