“เขาค้ออยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์” ใช่ครับ ผมรู้มานานตั้งแต่เล็กจนโต แต่ก็ไม่เคยได้ไปเสียที จนกระทั่งผู้ปกครองในห้องลูกชายชวนให้ไปดูการเลี้ยงหนอนไหมที่นั่น ซึ่งเด็กๆ กำลังศึกษาวงจรชีวิตหนอนไหมพอดี ด้วยเหตุนี้ผมและครอบครัวจึงได้ไปจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นครั้งแรก (ต้องขอบคุณผู้ปกครองที่ชักชวนและเจ้าลูกชายจริงๆ ที่ทำให้พ่อได้ไป)

วันที่ไปเที่ยวตรงกับวันหยุดช่วงเทศกาล วิธีเดียวที่จะเลี่ยงรถติดได้ก็คือ ต้องออกเช้ากว่าคนปกติเขาออกกัน เริ่มจากตื่นตีสี่นิดๆ หลังจากตระเวนรับสมาชิกนักเดินทางจนครบ เราออกจากกรุงเทพฯ ประมาณตีห้าครึ่ง วิ่งสบายๆ ใช้เวลาราวๆ ๓ ชั่วโมงครึ่ง ก็เข้าเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ แวะหยุดพักที่แรกคือ อ.วิเชียรบุรี เพื่อรับประทานอาหารเช้าตอน ๙ โมง

ผมเคยเห็นป้ายไก่ย่างวิเชียรบุรีติดทั่วกรุง คราวนี้ได้มากินไก่ย่างถึงถิ่นเลย เราแวะร้านดังคือ “นิวไก่ย่างบัวตอง” ผมให้เด็กๆ อ่านคำขวัญของจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อให้รู้ว่าของดีของจังหวัดนี้มีอะไรบ้าง นอกจากมะขามหวานแล้ว ก็มีไก่ย่างนี่แหละที่เป็นของกินเลื่องชื่อ

...

งานนี้เปิดด้วยเมนูไก่ย่างอย่างแน่นอน แล้วเราก็ตามด้วยส้มตำ คอหมูย่าง ลาบปลาดุก หมูพันตะไคร้ และข้าวเหนียวห่อใบตอง พอเปิดใบตองออกมาเห็นเป็นข้าวเหนียวสองสี ทีเด็ดจริงๆ ครับ ไก่ย่างกินเปล่าๆ ก็อร่อยไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้ม ส่วนส้มตำรสหวานนิดหน่อย คอหมูย่างสุดยอด แม้มันเยอะ แต่หมักได้ดีมาก ขอเบิ้ลไป 2 รอบ ลาบปลาดุกเปรี้ยวอร่อย ส่วนหมูพันตะไคร้ก็รสชาติดี

เด็กๆ กินข้าวเสร็จปุ๊บก็ออกไปวิ่งเล่นบนบ้านต้นไม้ ส่วนผู้ใหญ่เข้าห้องน้ำอีกรอบให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางต่อ ห้องน้ำที่ร้านนี้เป็นจุดขายเลยครับ ใหญ่ สะอาด อยู่กับธรรมชาติ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และมีห้องน้ำให้เพศทางเลือกอีกต่างหาก

ขับรถใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ ขึ้นไปถึงที่พักบนเขาค้อ ช่วงเย็นเราพาเด็กๆ ไปที่พิพิธภัณฑ์อาวุธ ที่นั่นได้บรรยายว่า เดิมเขาค้อเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ทางการต้องเข้าเผด็จศึกบุกยึดให้ได้ เพราะแต่ก่อนนี้จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นพื้นที่สีแดงของคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงมีการขนอาวุธยุทโธปกรณ์มาสู้รบและทหารเอาชนะได้ในที่สุด ถ้าเป็นแนวเด็กผู้ชายจะชอบเลยครับ มีทั้งปืนใหญ่ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถถัง รถหุ้มเกราะ ปืนกล หอตรวจการณ์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นชัยภูมิที่ดี จึงมีจุดชมวิวให้ดูทิวทัศน์ด้วย

...

...

หลังอาหารค่ำ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ที่บ้านพักมีโคมลอยอยู่ ลองให้เด็กๆ ปล่อยโคมลอยก่อนเข้านอนและหลับฝันดี

เช้าวันรุ่งขึ้น มีทะเลหมอกมาต้อนรับถึงหน้าประตูห้อง อากาศที่เพชรบูรณ์เย็นสบายจริงๆ ครับ อุณหภูมิราว ๒๐ องศา ตอนกลางคืนไม่ต้องการแอร์หรือพัดลมเลย

...

หลังรับประทานอาหารเช้า วันนี้เราวางแผนกิจกรรมยาวเหยียด เช้ารีบไปไหว้พระก่อนที่จะคนเยอะ แต่ระหว่างทาง เราเห็นทะเลหมอกสวย จนต้องแวะที่จุดชมวิว บริเวณนี้ได้นำผลิตผลทางการเกษตรมาตั้งขาย และที่ผมชอบคือ มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสเอาหมวกที่มี “เขา” มาขายด้วย เราเลยซื้อให้ลูกๆ ใส่ เด็กๆ จะได้จำว่าพวกเขาเคยมาที่เขาค้อด้วยกัน พอใส่กันหลายคนก็ดูตลกดี เราเลยตั้งชื่อว่า “แก๊งเขาควาย กาแล็กซี่”

วัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบูรณ์คือ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เมื่อไปถึงเส้นทางหมอกลงจัดมาก แต่รถราที่ไปก็ไม่น้อยเลย โชคดีที่เราได้ที่จอดรถใกล้วัด (ถ้าที่จอดเต็ม ต้องไปจอดด้านนอก เสียค่าที่จอด ๒๐ บาท) เราถอดรองเท้าแล้วเดินตามทางขึ้นไป พบว่าปฏิมากรรมที่นี่น่าตื่นตาตื่นใจมากครับ ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าทางวัดใช้เวลาสร้างกี่ปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์สวยงามขนาดนี้ ผมเคยเห็นในภาพถ่ายมาบ้าง แต่พอไปเห็นด้วยตาแล้วมันทึ่งจริงๆ มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มีศิลปะของการติดกระเบื้องตามที่ต่างๆ เต็มไปหมด

เมื่อขึ้นไปถึงด้านบน มองไปทางซ้าย เราจะเห็นพระมหาอุโบสถพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น (ตอนเดินขึ้นมาไม่ได้สังเกตเลย) ด้วยความที่เนื้อพระพุทธรูปเป็นสีขาว กลมกลืนไปกับหมอกที่ลงจัด ต้องรอจนจังหวะที่หมอกจางลง เราก็จะพบความอัศจรรย์ ใครอยากจะถ่ายรูปพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในวันหมอกลงต้องมีความอดทนอย่างมากครับกว่าจะได้รูปชัดๆ สักรูป เรื่องนี้ถือเป็นความท้าทายของคนที่มาเยี่ยมชมครับ การมาหน้าฝนแบบนี้ถือว่าน่ามาเที่ยวที่สุด เพราะกว่าจะได้เห็นของดีมันไม่ง่ายเลย ลองมองบรรยากาศรอบๆ ผ่านเมฆหมอกจากพื้นที่สูงขนาดนี้ เหมือนว่าเราได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์เลยครับ

ผมพาเด็กๆ กราบพระธาตุแล้วเราก็เดินลงจากเขากัน

ต่อจากนี้เป็นช่วงเอาใจเด็กๆ แล้วครับ เราแวะเติมพลังกันที่ร้านอาหารภูแก้วรีสอร์ท ผมแนะนำให้กินอาหารเที่ยงก่อนเลยครับ เพราะไปช่วงเวลาเที่ยง Phukaew Adventure Park ของเด็กๆ ก็ยังไม่เปิดอยู่ดี กินเสร็จแล้วจะขับรถขึ้นไปหรือนึกสนุกลองให้เด็กๆ นั่งรถสองแถวขึ้นไปก็ได้ สวนสนุกแห่งนี้เปิดทำการอีกครั้งตอนบ่าย เด็กๆ เล็งเครื่องเล่นที่ต้องการแล้วไปซื้อคูปอง มีราคาตั้งแต่ 50 บาทสำหรับเด็กจิ๋ว และ 150-300 สำหรับเด็กเล็กและเด็กโตครับ

เครื่องเล่นจะเป็นแนวผจญภัยและท้าทายความกล้า เช่น ปีนเขา ลื่นลงมาจากที่สูง กระโดดแกว่งไปมากับชิงช้ายักษ์ หรือจะออกเป็นแนวกีฬานิดๆ เช่น ขี่มอเตอร์ไซค์คันเล็กหรือยิงธนู มีเครื่องเล่นที่เล่นอยู่บนน้ำด้วย น่าสนุกทั้งนั้นครับ และที่ผมต้องขอชื่นชมก็คือ เจ้าหน้าที่ค่อนข้างสุภาพและใจดีกับเด็กมาก มีเพื่อนลูกคนนึงวิ่งหกล้ม เจ้าหน้าที่อุ้มไปทำแผลให้อย่างรวดเร็ว เห็นแล้วประทับใจมากๆ ครับ

หลังจากการเล่นสนุก เราเข้าสู่โหมดทัศนศึกษาหาความรู้ ผู้ปกครองท่านที่ชวนเรามาพาพวกเราขึ้นไปพื้นที่การเกษตรที่สูงของเขาค้อ พาเด็กๆ เข้าไปดูไร่หม่อนซึ่งเป็นอาหารของหนอนไหม เราได้ขออนุญาตชาวบ้านเข้าไปดูภายในโรงเลี้ยงไหมที่ทำกันเป็นอุตสาหกรรม เด็กๆ ดีใจที่ได้เห็นของจริง หนอนไหมที่นี่ดูอวบและตัวใหญ่กว่าที่เห็นในโรงเรียนเสียอีก

ระหว่างทางเด็กๆ ได้สัมผัสกับธรรมชาติรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ แมลงต่างๆ เช่น กระสุนพระอินทร์ที่จะม้วนตัวเป็นลูกกลมๆ เมื่อถูกแตะตัว

กิจกรรมที่สนุกที่สุดของวันก็คือ ให้เด็กๆ ช่วยกันสอยลูกอะโวคาโด ผมเองเคยเห็นเป็นลูกๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่เคยเห็นลูกที่อยู่กับต้นมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าต้นอะโวคาโดต้นเดียวให้ผลเป็นร้อยลูก ถ้าลูกไหนอยู่เตี้ย เด็กๆ ก็ปีนและโหนไปเก็บได้ แต่ถ้าสูงเกินไป ผู้ใหญ่ก็ต้องใช้ตะกร้อสอยลงมา ที่น่ารักก็คือ เด็กๆ เขาจะแบ่งหน้าที่กันเองว่าใครเป็นคนสอย ใครเป็นคอยเก็บผลจากตะกร้อ ใครเป็นคนนำผลมาใส่เข่ง พอคนไหนเมื่อยก็สลับเปลี่ยนหน้าที่กันเอง

ผมเคยกินแต่อะโวคาโดจากต่างชาติที่เปลือกสีดำผิวขรุขระ แต่อะโวคาโดที่ไร่นี้มีหลากหลายพันธุ์มากๆ เช่น มีสีเขียวรูปทรงยาวๆ คล้ายมะเขือม่วง แต่มีสีเขียว ผิวเรียบ มีอีกพันธุ์รูปทรงคล้ายมะม่วง ผิวขรุขระนิดๆ บางพันธุ์ก็ผิวเรียบสีม่วง นอกจากในไร่จะปลูกอะโวคาโดแล้ว ยังมีเสาวรสลูกโต ดอกกะหล่ำปลี และคะน้าให้เลือกเก็บได้อีก

พอเด็กๆ เก็บผลไม้ได้เต็มเข่ง ก็นำกลับมาที่พัก คุณแม่เป็นแผนกคัดแยกผลิตภัณฑ์แล้วมัดใส่ถุง ส่วนผมขอทำหน้าที่เป็นแผนกชิม หยิบผลอะโวคาโดที่ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือมาชิม รสชาติมันๆ อร่อยดีครับ ยิ่งถ้ากินกับนมข้นนิดนึง จะได้รสชาติหวานๆ มันๆ แต่อย่างไรก็ตาม ผมชอบกินแบบเปล่าๆ มากกว่าครับ

ใครไม่ชอบกินอะโวคาโด ผมอยากให้ลองกินนะครับ เพราะเป็นผลไม้ที่มีวิตามินหลายชนิดและมีกรดไขมันชนิดดีสูงซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้หัวใจแข็งแรง ลดคอเลสเตอรอล และควบคุมความดันโลหิตครับ

ขณะที่พ่อแม่นั่งแยกผลไม้ เด็กๆ ก็สนุกกับการเตะฟุตบอลในทุ่งกว้าง ล้มลุกคลุกคลานก็ไม่เจ็บเพราะมีหญ้านุ่มๆ รองรับ

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนกลับ พ่อแม่ยังติดใจการเก็บพืชผัก จึงขอขึ้นไปที่ไร่อีกครั้ง มีต้นพริกไทยกำลังออกผลสีเขียวสดเลยครับ ส่วนผมเองสนใจต้นแมคคาเดเมียที่ปลูกขึ้นที่นี่ด้วย ผมดูๆ แล้วเขาค้อคล้ายกับเมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา อากาศจะเย็นๆ มีฝนตกบ่อย น่าจะทำให้ผลไม้เมืองหนาวปลูกขึ้นได้ดี

เราแวะร้านกาแฟ “เขาค้อกาแฟสด” เพราะติดใจ “เผือกปั่น” ที่สีสวยและรสชาติดีมาก ใครมาที่นี่ขอแนะนำให้ลองชิมเลยครับ รับรองติดใจแน่นอน เราได้แวะซื้อของฝากกลับบ้านด้วยไม่ว่าจะเป็นแมคคาเดเมียที่อบและกระเทาะเปลือกให้แล้ว (ในถุงมีที่แงะให้ด้วย) มะนาวลูกเท่าส้ม หรืออะโวคาโดเขาค้อ

ผมอยู่ที่นี่ ๓ วัน ๒ คืน แสดงว่าอายุผมยืนขึ้นอีก ๒ ปี ตามสโลแกนที่พบในทุกที่ “นอนเขาค้อ ๑ คืน อายุยืน ๑ ปี” ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงกล้าตั้งสโลแกนแบบนี้ เพราะอากาศที่นี่ยอดเยี่ยม อาหารการกินดี ผักสด ผลไม้อร่อย กินแล้วสุขภาพแข็งแรง แถมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สงบไปแล้วสุขใจ

ถ้าใครยังไม่เคยไปเขาค้อ ผมขอแนะนำเลยครับ เล็งหาวันหยุดสักคืนสองคืน มาทำให้อายุเรายืนเพิ่มขึ้นอีกสักนิดกันดีกว่า