จะมีสถานที่ท่องเที่ยวสักกี่แห่งในเมืองไทย? ที่สามารถเสิร์ฟความสนุกสุดฟินให้นักเดินทาง ด้วยความสวยงามบรรเจิดของธรรมชาติ ไปพร้อมๆ กับเสน่ห์งดงามของวิถีวัฒนธรรมสุดคลาสสิกได้ เชื่อว่าทุกคนคงนึกถึง 'ภูเก็ต' แหล่งท่องเที่ยวแห่งความสุขแบบทูอินวัน!
ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสดีได้เดินทางไปเยือน จ.ภูเก็ต ในช่วงกรีนซีซั่น แม้ว่าจะเป็นฤดูมรสุม แต่ฝนฟ้าก็ไม่สามารถลดทอนความสวยงามของทะเลภูเก็ตให้น้อยลงได้เลย โดยเฉพาะคราวนี้ เราไม่ได้มาเที่ยวทะเลอย่างเดียวนะ แต่ได้ไปชมจุดท่องเที่ยวอื่นๆ ของเมืองภูเก็ตอีกหลายแห่งด้วย
งานนี้เราก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพ เรื่องราว และบรรยากาศของการท่องเที่ยวภูเก็ตคราวนี้มาฝากกัน อยากรู้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามมาชมทางนี้เลย
1. บ้านตีลังกา
หลังจากบินข้ามฟ้าข้ามทะเลเพียงชั่วโมงเศษๆ เราก็มาถึง จ.ภูเก็ต ราวๆ 10.30 น. เวลากำลังดี ทันทีที่ก้าวออกจากสนามบินก็สัมผัสถึงเมืองชายทะเลทันที ด้วยบรรยากาศ ผู้คน วิวภูเขา หรือแม้แต่กลิ่นอากาศ (ที่สดชื่น) ก็ชวนให้ร่างกายเข้าสู่โหมดการพักผ่อนอย่างปฏิเสธไม่ได้
...
ยืดแข้งยืดขาคลายเมื่อยและพูดคุยกับเพื่อนร่วมทริปไม่ทันไร ก็ได้เวลาย้ายก้นไปนั่งบนรถตู้ เพื่อมุ่งสู่จุดหมายแรกของเรา นั่นคือ บ้านตีลังกา (ยัง…ยังไม่ได้วิ่งลงทะเลตอนนี้) ยอมรับว่าหลายครั้งที่มาภูเก็ตก็ยังไม่เคยแวะที่นี่สักที คราวนี้มีโอกาสขอจัดเต็มซะหน่อยละกัน
บ้านตีลังกา ตั้งอยู่ที่ถนนเทพกระษัตรี ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต เป็นบ้านกลับหัวสุดแปลกแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย เท่าที่ทราบมา ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สนุกสนานมากทีเดียว เหมาะกับก๊วนเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกัน ได้มีกิจกรรมถ่ายรูปเท่ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ที่บอกว่ามันแหวกแนวกว่าที่อื่น ก็เพราะว่าเขาได้ออกแบบและก่อสร้างให้บ้านทั้งหลังกลับหัวทิ่มลงพื้น (อ่านไม่ผิดหรอก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ) ไม่ใช่แค่ด้านนอกที่เห็นหลังคาบ้านอยู่ที่พื้น แต่ด้านในเขาก็เก็บรายละเอียดวางของกลับหัวกันทุกมุม ทั้งห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ทั้งหมดตีลังกาโดยพร้อมเพรียงกัน
...
นอกจากจะได้แอ็กชั่นท่าเท่ๆ เพื่อถ่ายรูปกับมุมต่างๆ ในบ้านแล้ว บริเวณสวนข้างบ้าน ก็ถูกออกแบบให้เป็นสวนพิศวงขนาด 950 ตารางเมตร แห่งแรกในภูเก็ต พอลองเดินเข้าไป ก็สัมผัสได้กับบรรยากาศของเขาวงกต เหมือนนิทานเรื่องอลิซผจญดินแดนมหัศจรรย์ยังไงยังงั้น เพลิดเพลินไปอีกแบบ ยิ่งตอนนี้เขามีแพ็กเกจค่าเข้าชมสุดคุ้มอยู่ด้วย ใครสนใจก็มาแวะกันได้ ผู้ใหญ่ 400 บาทต่อคน เด็ก 240 บาทต่อคน (เฉพาะการซื้อที่หน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น) เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.
...
2. วัดฉลอง
ใช้เวลาไม่นาน เราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อไปที่ วัดฉลอง หรือ วัดไชยธาราราม ตั้งอยู่ที่ถนนเจ้าฟ้า ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดภูเก็ต เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อแช่ม พระครูผู้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเมืองภูเก็ต
จากเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์และคุณความดีของหลวงพ่อแช่มในการเป็นที่พึ่งให้แก่ชาวบ้าน เมื่อครั้งที่ต่อสู้กับพวกอั้งยี่ (พวกจีนที่ก่อการกบฏ) โดยท่านได้มอบผ้าประเจียดสีขาวให้ชาวบ้านทุกคนโพกหัวเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการต่อสู้ จนเอาชนะพวกอั้งยี่ได้
ภายหลังรัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าพระราชทานสมณศักดิ์แก่หลวงพ่อแช่มวัดฉลองเป็น พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ซึ่งท่านก็เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของชาวภูเก็ตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จุดเด่นที่สวยงามมากๆ ของวัดแห่งนี้คือ พระธาตุเจดีย์ ที่มีรูปทรงคล้ายพระธาตุพนม โดยมีชื่อว่า พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ ยิ่งได้เดินเข้าไปชมรอบๆ เจดีย์ยิ่งเห็นความวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรมมากขึ้นไปอีก
...
ส่วนภายในเป็นห้องโถงกว้าง จัดแสดงพระพุทธรูปปางต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้กราบสักการะบูชา เดินขึ้นไปชั้นที่สองมีพระพุทธรูปหินอ่อนประดิษฐานอยู่ ส่วนชั้นสามเป็นจุดชมวิวมุมสูง และมีบันไดเล็กๆ เดินขึ้นไปที่ชั้นสี่ (แคบมาก) เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ที่ว่ากันว่านำมาจากประเทศศรีลังกา
3. วัดพระใหญ่ จ.ภูเก็ต
หลังจากเติมพลังด้วยอาหารใต้สไตล์ภูเก็ตจนเต็มพิกัด พอบ่ายคล้อยเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่ วัดพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี หรือ วัดพระใหญ่ อยู่ที่ถนนเทพกระษัตรี ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต โดยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะภูเก็ตเลยทีเดียว คือใหญ่มากจริงๆ ขนาดว่าถ้าเดินไปใกล้ๆ ต้องแหงนหน้ามองจนคอตั้งบ่าถึงจะเห็นองค์พระทั้งองค์
องค์พระถูกออกแบบให้งดงามตามศิลปะร่วมสมัย ประดับผิวด้วยหินอ่อนหยกขาวจากประเทศพม่า มีน้ำหนักราว 135 ตัน มีขนาดหน้าตักกว้าง 25.45 เมตร สูง 45 เมตร ตั้งตระหง่านสูงเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขานาคเกิด
ข้างๆ จะมีบันไดให้เดินขึ้นไปชั้นบนที่องค์พระประดิษฐานอยู่ เป็นลานกว้างให้นักท่องเที่ยวสามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามของเวิ้งหาดกะตะ แหลมพรหมเทพ เกาะแก้วพิสดารได้แบบ 360 องศา ส่วนด้านล่างกำลังปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบให้มีความสวยงามร่มรื่น เพื่อสร้างเป็นอุทยานยอดเขานาคเกิด เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และใช้สำหรับวิปัสนากรรมฐาน
น่าเสียดายช่วงที่เราไปเที่ยวชม รอบๆ พื้นที่อุทยานยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ แต่คาดว่าเมื่อทำออกมาเสร็จสมบูรณ์แล้วต้องร่มรื่น สวยงามมากแน่ๆ เดินชมสักพักเมฆดำทะมึนก็เคลื่อนตัวมาบดบัง ส่งสัญญาณว่าฝนกำลังมา เราเลยสลายตัว เดินทางกลับที่พัก ก่อนจะลุยเที่ยวกันต่อวันพรุ่งนี้
4. หาดกล้วย เกาะเฮ
เช้าวันถัดมา เป็นวันที่อากาศขมุกขมัวอยู่สักหน่อย แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าจะมาหยุดการเดินทางของเราได้ที่ไหน หลังจากรับประทานมื้อเช้าเบาๆ จากโรงแรมเคป พันวา โฮเทล ภูเก็ต เราก็ไม่รอช้า นั่งเรือออกจากฝั่งแต่เช้าเพื่อไปเที่ยวที่ เกาะเฮ เกาะสวาทหาดสวรรค์ของคนรักทะเลตัวจริง
ที่บอกอย่างนั้นก็เพราะว่า เกาะแห่งนี้ถือเป็นเกาะน้องใหม่ เพิ่งแนะนำตัวกับนักท่องเที่ยวได้ไม่นานนัก ดังนั้นใครที่ใฝ่ฝันถึงการพักผ่อนริมชายหาดแบบเงียบสงบล่ะก็...รับรองถูกใจ (ยังไม่ถูกเขมือบโดยขบวนทัวร์จีน) หลังจากลงเรือที่ หาดกล้วย ของเกาะเฮแล้ว เราเดินสำรวจหน้าหาด ก็พบว่านักท่องเที่ยวมีพอประมาณ ไม่พลุกพล่าน มีเปลชายหาดให้นอนพักแต่ถูกจัดโซนไว้ต่างหาก ไม่รบกวนทัศนียภาพของท้องทะเลและขอบฟ้าอันสวยงามด้านหน้า
ที่สำคัญคือ ที่นี่ถือเป็นแหล่งทำกิจกรรมทางน้ำหลายอย่าง ขนมาให้เลือกแบบจัดเต็ม ทั้งการดำน้ำชมปะการังแบบสกูบา ดำน้ำแบบสน็อกเกิล โดยการดำน้ำที่นี่ไม่ต้องมี License ก็สามารถดำน้ำได้ นอกจากนี้ก็มีบานาน่าโบ๊ต พาราเซลลิ่ง พายเรือคยัคท้องกระจก เป็นต้น หรือสะดวกที่สุดก็เลือกใช้บริการวันเดย์ทริปกับทีมอันดามันโอเชี่ยนซาฟารีก็ได้ เขาจัดทริปให้ครบ รวมกิจกรรมดำน้ำบนเกาะ แถมมีเรือบริการรับส่งโรงแรมอีกด้วย สอบถามได้ที่ โทร. 0 7638 3988
ส่วนใครที่ไม่อยากทำกิจกรรมให้เมื่อย ก็มานั่งพักผ่อนชิลชิลที่เปลหาด รับลมทะเล ชมฟ้าสวยน้ำใสตรงหน้าก็ฟินแล้ว แต่จะฟินยิ่งกว่าถ้าเกิดจังหวะดีได้เห็น นกเงือก นกประจำถิ่นของเกาะแห่งนี้ (เป็นนกหายากที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ) ซึ่งช่วงที่เราไปเที่ยวถือว่าโชคดีมากๆ ที่ได้เห็นเจ้านกชนิดนี้กว่า 10 ตัว บินมาเกาะที่ต้นมะเดื่อริมหาด เพื่อจิกกินลูกมะเดื่ออย่างสบายอารมณ์
5. ย่านตึกเก่าโบราณ ตัวเมืองภูเก็ต
หลังจากเล่นน้ำ เล่นกิจกรรม และพักผ่อนกับบรรยากาศท้องทะเลกันจนเต็มอิ่มก็ได้เวลากลับที่พักอีกครั้ง และในวันถัดมาก่อนกลับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ก็ขอตระเวนเที่ยวทิ้งท้ายกันในตัวเมืองภูเก็ตเสียหน่อย เราไปกันที่ ถนนถลาง เป็นถนนสายวัฒนธรรมจีน-มาเลย์ โดดเด่นตรงที่มีอาคารสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสอันเลื่องชื่อ
ถนนถลาง ตั้งอยู่ใน อ.เมืองภูเก็ต เป็นย่านรวมตึกเก่าโบราณ ซึ่งอวดเสน่ห์ของตัวอาคารที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 ตกแต่งด้านหน้าอาคารด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป และแบบชิโน-โปรตุกีสสลับกันไป ตลอดถนนสายนี้ประกอบไปด้วยร้านขายผ้าปาเต๊ะ ผ้าลูกไม้ ร้านกาแฟ โรตีมะตะบะ ร้านอาหารใต้แท้ๆ ร้านขายของที่ระลึก และอีกมากมาย
นอกจากนี้ ยังสามารถเดินชมซุ้มโค้งแบบโรมัน บานหน้าต่าง ช่องแสงลวดลายเรขาคณิตยุคอาร์ตเดโคสุดชิก โดยเฉพาะจุดเด่นอย่าง ซอยรมณีย์ ที่อดีตเคยเป็นย่านบันเทิงยามค่ำคืน แต่ปัจจุบันถูกตกแต่งด้วยสีสันสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปสุดๆ เราเองก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพของย่านเมืองเก่านี้เช่นกัน ทั้งในช่วงกลางวันและช่วงกลางคืนที่มีการประดับไฟสีสันสวยงาม
เดินเที่ยวอยู่นานจนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองได้ซึมซับและเข้าใกล้ความเป็นชิโน-โปรตุกีสมากขึ้น นี่ถ้ามีเวลามากอีกหน่อย จะค่อยๆ เดิน ค่อยๆ เที่ยว ให้สนุกหนำใจกว่านี้ แต่ยังไงก็คงต้องโบกมือลาถนนถลางไปแล้วจริงๆ
แม้จะแอบเสียดายที่เวลาเดินเร็วไปนิด แต่อย่างน้อยการมาเที่ยวภูเก็ตคราวนี้ก็ทำให้เข้าใจแล้วว่า ทำไมที่นี่ถึงได้ฉายาว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามัน!