แผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย นำคณะผู้บริหารร่วมงานชุมนุมกาชาดครั้งที่ 11.

ในงานชุมนุมกาชาด ครั้งที่ 11 เฉลิมพระเกียรติองค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย โอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯเปิดการประชุมและทรงแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “สภากาชาดไทย : การพัฒนาระบบอาสาสมัครเพื่อขับเคลื่อนจิตอาสาในสังคมไทย” เพื่อพัฒนาระบบอาสาสมัครสภากาชาดไทยให้เป็นกลไกระดับชาติ และขับเคลื่อนจิตอาสาในสังคมไทย ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จ.ชลบุรี เมื่อวันพฤหัสฯที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงแสดงปาฐกถาพิเศษถึง “การพัฒนาระบบอาสาสมัครเพื่อขับเคลื่อนจิตอาสาในสังคมไทย” โดยรับสั่งว่า ปี 2558 ถือเป็น“ปีแห่งอาสาสมัครสภากาชาดไทย” จึงเป็นโอกาสที่ทุกภาคส่วนจะได้นำประสบการณ์ในการทำงานมาแลกเปลี่ยนกันตามหลักการกาชาดสากล ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และหลักการกาชาดสากลอีกประการหนึ่ง คือ การเป็นองค์กรอาสาสมัคร ทุกคนจึงควรต้องช่วยพัฒนาให้สภากาชาดไทยเป็นองค์กรอาสาสมัคร ที่มีอาสาสมัครรูปแบบต่างๆ มาช่วยกันดำเนินการตามภารกิจ และเสริมสร้างจิตอาสาในสังคมไทย

ทั้งนี้ องค์กรกาชาดระหว่างประเทศเกิดจากการที่มีอาสาสมัครช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในการสู้รบระหว่างกองทัพออสเตรียกับฝรั่งเศส และต่อมาก็มีการก่อตั้งสภากาชาดไทย อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์สู้รบระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2436 กรณีพิพาทเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต จึงได้มีการระดมอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือบำบัดทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ประชาชน ถือกำเนิดเป็นสภาอุณาโลมแดงแห่งสยาม เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2436 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของสภากาชาดไทย

...

ต่อมาในปี 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย ทรงมีพระราชดำริตั้งเหล่ากาชาดจังหวัด รวม 69 จังหวัด สภากาชาดไทยจึงกำหนดวันที่ 27 มกราคมของทุกปี เป็นวันก่อกำเนิดเหล่ากาชาดจังหวัด ซึ่งในช่วงเวลา 122 ปี นับจากปีที่ก่อตั้งสภากาชาดไทย ประเทศไทยเจริญพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การที่สังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่เน้นความก้าวหน้าทางด้านวัตถุ ในขณะที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในสภาพดังกล่าวนี้ สังคมเราก็จะอยู่โดยดูแต่สิ่งที่มีคุณค่าทางการเงินอย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีสิ่งที่มีคุณค่าทางชีวิต ได้แก่ หัวใจจิตอาสา และสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคมที่เป็นนามธรรม ได้แก่ ความเอื้ออาทร ความมีเยื่อใยในสังคมให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องมีสิ่งที่มีคุณค่าทางชีวิตและสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคมที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ อาสาสมัครประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเอื้ออาทร มีเยื่อใย มีจิตอาสาและมีจิตวิญญาณแบบอาสาสมัคร โดยทรงฝากไว้ในตอนท้ายว่า “การเป็นอาสาสมัครอาจจะเหนื่อยยาก แต่ใจเป็นสุข เพราะเห็นผู้อื่นพ้นทุกข์”.