ช่วงที่ผ่านมา มีการจุดกระแส "บ่อนเสรี" จากตำรวจระดับ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่แล้ว กระแสดังกล่าวก็ถูกเสียงต้านจนเงียบหาย อย่างไรก็ดี ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งคำถามขึ้นคือ "ค้าบริการทางเพศเสรี" ล่ะ จะมีความคิดเห็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงได้เดินหน้าเจาะลึกในเรื่องนี้โดยรวบรวมกูรูด้านต่างๆ มาร่วมไขข้องใจ 

สำหรับ ประเทศไทย หรือ สยามเมืองยิ้ม ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนานับประเทศ ด้วยวัฒนธรรม และธรรมชาติที่สวยงาม แต่กระนั้น ก็มีด้านมืดที่เลื่องชื่อว่า ประเทศไทย เป็นเหมือนจุดหมายของเซ็กซ์ทัวร์ เนื่องจากมีจำนวนหญิงค้าบริการมากที่สุดในโลก เป็นเบอร์ 1 ด้านนี้ คำครหาแบบนี้คนไทยได้ฟังย่อมรู้สึกไม่พอใจ เสียใจ หรือหดหู่...แต่เราก็รับรู้ว่ามันมีส่วนจริง ทั้งที่ การค้าประเวณีในไทย ยังคงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และ ขัดต่อวัฒนธรรม ก็ตาม

เล่นจริง เจ็บจริง ละครชีวิตของอาชีพค้าบริการ

“ธุรกิจค้าบริการ ก็เหมือนโรงละคร ผู้หญิง คือ นางเอก คนเชียร์แขก เท่ากับ ตัวตลก พระเอกคงหนี้ไม่พ้น เหล่าลูกค้าผู้ชาย ส่วนตู้กระจก นั่นแหละเวที ให้แสดง เบื้องหลังอาจมีคราบน้ำตา แต่เบื้องหน้าต้องเล่นได้ตามบท ยิ้มแย้มเสมอเพื่อลูกค้า” นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กูรูรู้ลึกรู้จริงในวงการธุรกิจเพศพาณิชย์ เปรียบการค้าบริการให้เห็นภาพมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากเล่ารายละเอียดต้นตอของธุรกิจสีเทาให้กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์

...

ขุดรากเหง้าอาชีพค้าบริการ แท้จริงมีมานานตั้งแต่สงครามโลก

ผู้ช่ำชองในวงการธุรกิจเพศพาณิชย์ ถึงต้นตอของอาชีพค้าบริการ นายชูวิทย์ เล่าให้ฟังว่า ธุรกิจเพศพาณิชย์ในไทยมีมาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนามและพัฒนาการมาเรื่อยๆ โดยเพิ่มลูกเล่นแปลกใหม่เข้าไป แต่สิ่งที่คงเดิมคือ “ผู้หญิง” ยังเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจที่สำคัญ

สมัยสงครามเวียดนาม ชาวต่างชาติใช้ประเทศไทยเป็นที่พักพิงก่อนที่จะเดินทางไปรบที่เวียดนาม การบริการในสมัยนั้นจะมีรูปแบบ เป็นเพิงขายอาหาร พร้อมเหล้า เพื่อให้ความสำราญแก่บรรดาทหารเท่านั้น ต่อมา จึงค่อยๆ เติมการบริการของหญิงสาวเข้าไปในธุรกิจที่เรียกว่า โรงเตี๊ยม ที่มีการแสดงดนตรี และให้ผู้หญิงนั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อน โดยผู้หญิงที่ค้าบริการในสมัยนั้น จะถูกเรียกว่า เมียเช่า เนื่องจาก มีการจ่ายเงินจ้างให้อยู่ด้วยประมาณ 1-2 อาทิตย์ เมื่อหมดเวลาก็จะถูกส่งต่อให้ลูกค้ารายอื่น

ต่อมามีคนหัวใส พัฒนารูปแบบให้กลายเป็น ไนต์คลับ ซึ่งเลียนแบบมาจากเซี่ยงไฮ้ โดยสถานบันเทิงจะถูกรวมอยู่ที่ราชดำเนินค่อนข้างเยอะ ผู้หญิงที่ทำงานในช่วงนี้จะถูกเปลี่ยนชื่อเรียก เป็น "พาร์ทเนอร์" ทำหน้าที่เต้นรำกับแขก โดยมีค่าใช้จ่ายชั่วโมงละ 80-100 บาท หลังจากนั้นไนต์คลับได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้สถานบันเทิงได้รับความนิยมและเฟื่องฟูในเวลาต่อมา

เปลื้องผ้า รูดเสา ที่มา อาบ อบ นวด ที่แท้จริง

นายชูวิทย์ เล่าต่อว่า เมื่อธุรกิจเพศพาณิชย์ที่มีผู้หญิงมาเป็นหัวใจหลัก สามารถสร้างเม็ดเงินจำนวนมากได้ สถานบริการในลักษณะดังกล่าวก็ยิ่งเติบโต และมีลูกเล่นที่หวือหวาขึ้น เช่น โชว์เปลื้องผ้า (strip show) เป็นโชว์ที่ชาวต่างชาติถูกใจอย่างมากด้วยลีลา ท่าทาง ที่เหล่าผู้หญิง หรือนางโชว์เปลือยกาย ออกมาเต้นรูดเสา สร้างความตื่นตา ตื่นใจ จนได้รับความนิยม จนส่งผลให้โรงเตี๊ยม และไนต์คลับค่อยๆ หดหายไป

ต่อมาโชว์เปลื้องผ้า ได้กลายมาเป็นต้นตอรูปแบบของอาชีพขึ้นชื่ออย่าง "อาบ อบ นวด" ที่ดัดแปลงผสมผสานกับการแช่ออนเซ็น แบบญี่ปุ่น แต่ผู้ชายไทยคิดว่าการแช่น้ำ หรือ อาบน้ำโดยมีแต่ผู้ชายอย่างเดียวเป็นเรื่องที่แปลก จึงดัดแปลงให้มีการนำผู้หญิงเข้ามาสร้างความบันเทิงเริงใจไปด้วยในขณะอาบน้ำ ซึ่งผู้หญิงเหล่านี้จะถูกเรียกว่า "หมอนวด"

หมอนวด ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ บริการอาบน้ำอย่างเดียว และ บริการอาบน้ำพร้อมมีเพศสัมพันธ์ โดยราคาจะมีความแตกต่าง อาจเริ่มตั้งแต่ชั่วโมงละ 250-1,200 บาท

...

ชูวิทย์บอก ทำทั้งทีเอาให้ครบ กิน ดื่ม นอน ในที่เดียว

อดีต ส.ส.หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เล่าต่อถึงพัฒนาการของรูปแบบสถานบริการทางเพศ รวมไปถึง พัฒนาของผู้หญิงค้าบริการ โดยได้ยกช่วงหนึ่งของชีวิตการทำงานของตนเองขึ้นมาว่า ในช่วงเวลาที่ หมอนวด ความนิยมกำลังจะตกลง ตนได้ชุบชีวิตอาชีพนี้ขึ้นมาใหม่ ด้วยการเพิ่มลูกเล่นให้ครบวงจร ด้วยการนำเอา การ ร้อง รำ กิน เซ็กซ์ มารวมไว้ในตึกเดียว

ทั้งนี้เพื่อเป็นการเอาใจลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพิ่มลูกเล่นคาเฟ่ เป็นตัวสร้างบรรยากาศให้ลูกค้าพอได้พูดคุยกับสาวบริการ ก่อนจะพากันไปขึ้นสวรรค์กันต่อที่ชั้นบน ซึ่งรูปแบบครบวงจร ก็ได้สร้างอีกหนึ่งอาชีพขึ้นมา ได้แก่ เด็กค็อกเทลเลาจน์ ที่รับบริการนั่งคุยนั่งดื่ม ต่อรองชั้นเชิงให้แขกติด จนสามารถเรียกเงินจากกระเป๋าลูกค้าได้เป็นแสนๆ ก่อนที่จะจบกันด้วยเรื่องเซ็กซ์

เปลี่ยนหลายชื่อ สุดท้ายก็จบที่เรื่องบนเตียง

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เผยว่า จาก เมียเช่า พาร์ทเนอร์ หมอนวด จนไปถึงชื่อเรียกอื่นๆ ปัจจุบันสาวค้าบริการ ก็ยังคงมีรูปแบบและชื่อเรียกที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น โคโยตี้ พีอาร์ สาวบริการ เด็กไซด์ไลน์ หรือ โสเภณี แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ไปเปลี่ยนไปนั่นคือ ตอนจบที่ต้องแลกเซ็กซ์กับเงิน

ปัจจุบันอาจไม่ค่อยได้เห็นอาชีพโสเภณี หรือการขายบริการ กันแบบเปิดเผยมากนัก เพราะติดเรื่องของกฎหมาย แต่การค้าก็ยังมีอยู่โดยมาในรูปแบบของ เด็กไซด์ไลน์ และ พีอาร์ ที่อยู่ตามร้านอาหาร หรือร้านเหล้า เบียร์ ไม่มีค่านายหน้า ซื้อขายโดยตรง และค่าบริการค่อนข้างสูง โดยขั้นต่ำ อยู่ที่ครั้งละ 3,000 บาทขึ้นไป หากติดใจก็ต้องส่งเสียเลี้ยงดูกันอีกที รายได้ต่อวันจึงตกอยู่ที่ หลักหมื่นบาท ซึ่งการขายแบบนี้เป็นความท้าทายอย่างมากกับลูกค้า
สาวหัวใส ผุดอาชีพทำเงิน บริการนั่งทานข้าวเป็นเพื่อนแก้เหงา

...

นอกจากนั้น นายชูวิทย์ ยังได้เผยอีกอาชีพที่สังคมอาจจะยังไม่รู้ว่ามีอยู่ นั่นคือ อาชีพสุดฮิตของนักศึกษาหน้าตาดี ที่อยากมีเงินใช้ และไม่เปลืองตัวมากสักเท่าไร ได้แก่ การรับบริการนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน หรือ เป็นคู่ออกงาน อาชีพนี้เกิดขึ้นมาเอาใจหนุ่มใหญ่ขี้เหงา ต้องการคนเอาใจ เพราะสาวๆ เหล่านี้จะมีหน้าที่คอยเห็นดีเห็นชอบในทุกเรื่อง คอยหัวเราะไปกับมุกตลก ตบมือให้กำลังใจ แค่นี้ก็ได้เงินมาซื้อเสื้อผ้า หรือกินอาหารหรูๆ ไปคนละ 4,000-5,000 บาท แต่จะมีอะไรที่เกินเลยไปกว่านั้นหรือไม่ก็อยู่ที่การตกลงกันเอง

เงินสะพัดวงการค้ากาม รายได้สูงกว่าคนจบ ป.ตรี

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าวต่อว่า รายได้จากธุรกิจการบริการทางเพศในสังคมไทย หากคิดอย่างจริงจัง คาดการณ์ว่าจะมีมากถึง ปีละ 5 หมื่นล้านต่อปี เพราะรายได้ต่อเดือนของสถานบริการ ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายสูงถึง 20-30 ล้านบาท

นอกจากนี้ในภาคนิพนธ์ เรื่อง “ธุรกิจนอกระบบ” ของนายชูวิทย์ ยังระบุไว้ว่า ในปี 2550 มูลค่ารายได้รวมของธุรกิจเพศพาณิชย์ซึ่งเป็นการประมาณการขั้นต่ำ มีรายได้ประมาณ 174,050 ล้านบาท หากเทียบกับ GDP โดยรวมของประเทศในปีเดียวกัน (ปี 2550 GDP เท่ากับ 8,485,200 ล้านบาท) รายได้จากการค้าประเวณีคิดเป็นสัดส่วน 2.05 เปอร์เซ็นต์

เนื่องจากว่า รายได้รวมเฉลี่ยต่อคนต่อวัน อยู่ที่อย่างต่ำ 3,000 บาท หากคิดเป็นเดือน รายได้ของผู้ให้บริการทางเพศนั้นจะอยู่ประมาณ 30,000-100,000 บาท ในกรณีสำหรับผู้ชายผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุดนั้นอาจจะมากกว่า 100,000 บาท ทั้งนี้ถ้าเปรียบเทียบแล้วรายได้ต่ำสุดที่หญิงบริการได้รับ มากกว่ารายได้ขั้นต่ำ หรือมากกว่าคนทำงานที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญา

...

จับได้ไม่ถึงร้อย สาวนับหมื่นตบเท้าเข้าทำงาน อาชีพโสเภณี

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมจากภาคนิพนธ์ดังกล่าว พบว่าจำนวนตัวเลขผู้ให้บริการทางเพศในประเทศไทย ปี 2550 มีหญิงให้บริการทางเพศ 85,000 คน บวกกับจำนวนหญิงบริการต่างชาติ 36,000 คน โสเภณีเด็กอีกประมาณ 60,000 คน กับกลุ่มที่ทำงานอิสระบางเวลา (Part time) และนักศึกษาขายบริการทางเพศอีก 48,000 คน ซึ่งเมื่อรวมออกมาแล้วได้จำนวนมากถึง 229,000 คน

แต่ในทางกลับกัน จากผลการสำรวจสถานบริการและผู้ให้บริการทางเพศทั่วประเทศ ในปี พ.ศ.2557 ของกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเทศไทยมีสถานบริการทั้งหมด 20,495 แห่ง โดยแบ่งออกเป็น 25 ประเภทธุรกิจหลักๆ มีผู้ชายให้บริการทางเพศ 4,003 คน ผู้หญิงให้บริการทางเพศ 46,686 คน รวมทั้งสิ้นเพียงแค่ 50,699 คน เท่านั้น

สถานที่ที่มักตรวจพบการบริการ ได้แก่ ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ บาร์เบียร์ โรมแรม และ นวดแผนโบราณ/สปา ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่พบการค้าบริการมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ กรุงเทพมหานคร , ชลบุรี , ภูเก็ต , สุราษฎร์ธานี และ สงขลา โดย กทม.ตรวจพบแต่หญิงค้าบริการ ในทางกลับกันชลบุรี สามารถตรวจพบได้ทั้ง ชายและหญิง นับครึ่งหมื่น

จาก รายงานสถิติคดีตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ประจำปี 2557 สำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม พบว่ามีผู้กระทําผิด ที่จับได้เพียงแค่ 73 คดี โดยมีจำเลยรวมทั้งสิ้น 89 ราย แยกเป็น ชาย 33 คน และ ผู้หญิง 55 คน

เมื่อทราบเพียงต้นตอและเม็ดเงิน รวมไปถึง การจัดการหรือจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว บางคนอาจจะรู้สึกได้ว่า อาชีพค้ากามเช่นนี้คงยากที่จะหายไป แต่อาจจะยังไม่พอให้ตัดสินได้ใจว่า ธุรกิจค้ากามเช่นนี้ควรแล้วหรือยังที่จะผลักดันให้ถูกกฎหมาย ในตอนหน้าทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงจะพาไปฟังอีกมุม อีกหนึ่งความในใจ จากปากของพวกเธอ “ผู้ประกอบอาชีพค้าบริการ”

อ่านเพิ่ม