วันเสาร์สบายๆวันนี้มาคุยเรื่อง ความแออัดของกรุงเทพมหานคร กันสักวันนะครับ ความแออัดของกรุงเทพฯวันนี้ ใครไม่รู้สึกอึดอัดก็ไม่ว่ากัน แต่ผมรู้สึกอึดอัด และเข้าใจความรู้สึกของ ชาวลอนดอนเมื่อ 30 ปีก่อน ก่อนที่ รัฐบาลอังกฤษ จะแก้ปัญหาด้วยการ สร้างเมืองบริวารรอบกรุงลอนดอน ในรัศมีไม่เกิน 30 นาที จากการเดินทางด้วยรถไฟ เพื่ออพยพชาวลอนดอน ไปอยู่ชานเมือง ลดความแออัดในกรุงลอนดอน แต่ดูเหมือน รัฐบาล และ กรุงเทพมหานคร ในปัจจุบัน ไม่เคยคิดในเรื่องนี้เลย

ที่ผมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน เพราะเมื่อวานนี้ บัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด เพิ่งแถลง ผลการสำรวจเมืองต่างๆ ที่เป็น จุดหมายปลายทาง ของ นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนและพักค้างคืนปี 2015 จำนวน 132 เมือง

ผลปรากฏว่า เมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนและพักค้างคืนมากที่สุดในโลก อันดับ 1 คือ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ครองอันดับ 1 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อันดับ 2 ของโลก เป็น กรุงเทพมหานคร ซึ่ง ครองอันดับ 1 ในเอเชีย ด้วย อันดับ 3 เป็น กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส อันดับ 4 เมืองดูไบ ในตะวันออกกลาง และ อันดับ 5 เป็น อิสตันบูล ประเทศตุรกี

มาดูตัวเลขกันเสียหน่อยนะครับ

อันดับ 1 กรุงลอนดอน มีนักท่องเที่ยว 18.82 ล้านคน อันดับ 2 กรุงเทพมหานคร มีนักท่องเที่ยว 18.24 ล้านคน อันดับ 3 กรุงปารีส มีนักท่องเที่ยว 16.06 ล้านคน อันดับ 4 ดูไบ มีนักท่องเที่ยว 14.26 ล้านคน อันดับ 5 อิสตันบูล มีนักท่องเที่ยว 12.56 ล้านคน

สำหรับ การใช้จ่ายสูงสุด ของนักท่องเที่ยวในแต่ละเมือง

อันดับ 1 ยังเป็น กรุงลอนดอน ที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายมากที่สุด 20,230 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 684,000 กว่าล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 33.85 บาทต่อดอลลาร์) อันดับ 2 นิวยอร์ก จำนวน 17,370 ล้านดอลลาร์ อันดับ 3 กรุงปารีส จำนวน 16,610 ล้านดอลลาร์ อันดับ 4 มีสองเมืองคือ กรุงโซล และ สิงคโปร์ จำนวน 14,650 ล้านดอลลาร์ อันดับ 6 บาร์เซโลนา และ อันดับ 7 กรุงเทพมหานคร มีการใช้จ่ายรวม 12,360 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 418,000 กว่าล้านบาท

...

เมื่อดูตัวเลขเหล่านี้เผินๆ หลายฝ่ายคงรู้สึกแฮปปี้ ที่กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีคนมาเที่ยวมากอันดับ 2 ของโลก และอันดับ 1 ในเอเชีย (แต่ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย) มีการใช้จ่ายปีละ 4 แสนกว่าล้านบาท ทำรายได้ให้ธุรกิจท่องเที่ยวในกรุงเทพฯเป็นกอบเป็นกำ

แต่อีกด้านหนึ่งผมคิดว่า คนที่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่คงไม่รู้สึกแฮปปี้เท่าไหร่ เพียงแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจาก “บ่น” ไปเรื่อยๆตามประสาคนไทย

รถติดวินาศสันตะโรทุกวันทั้งเช้าเย็น ใช้เวลาเดินทางบ้านกับที่ทำงานวันละ 3-4 ชั่วโมง ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนก็ไม่พอเพียง มีสั้นๆ 2-3 สาย รถเมล์ก็เก่าโคตรแถมไม่พอเพียง รถแท็กซี่ก็โคตรแพง แถมยังไม่ยอมรับผู้โดยสารที่ขอใช้มิเตอร์ ที่กิน ที่เที่ยว ที่พัก ทุกสิ่งทุกอย่างแออัดไปหมด ไม่มีความสะดวกสบายเหมือนในอดีตหลงเหลืออยู่อีกต่อไป

ผมเอาจำนวน นักท่องเที่ยว 18.24 ล้านคน มาแสดงไว้ตั้งแต่ต้น ท่านผู้อ่านอาจจะอ่านผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าผมบอกว่า จำนวนนักท่องเที่ยว 18.24 ล้านคนที่มาเพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ ทำให้ กรุงเทพฯที่มีประชากรเพียง 5.7 ล้านคน (ตัวเลขประชากรจาก 50 เขตในกรุงเทพฯปี 2556) มีประชากรเพิ่มเป็น 23.94 ล้านคน มีคนต่างถิ่นอีก 18.24 ล้านคน เข้ามาแย่งกินแย่งใช้ทุกอย่างในกรุงเทพฯ ที่ขาดแคลนอยู่แล้ว ให้ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น

ถ้ารวม ประชากรของปริมณฑลอีก 5–6 จังหวัด เข้ามาด้วย กรุงเทพมหานคร วันนี้ จะมีประชากรรวมกันถึง 30 ล้านคน ไม่นับ แรงงานต่างจังหวัด แรงงานต่างด้าว อีกนับล้านคน แย่งกันอยู่ แย่งกันกิน แย่งกันใช้ จะไม่อึดอัดอย่างไรไหว

วันนี้ผมคิดว่า กรุงเทพมหานคร ก็ถึงเวลาที่จะต้อง ปฏิรูปเมืองครั้งใหญ่ ต้องมีการ สร้างเมืองบริวารอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดความแออัดเหมือน กรุงลอนดอน เมื่อ 30 ปีก่อน ก่อนที่สาธารณูปโภคทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปกว่านี้.

“ลม เปลี่ยนทิศ”