หลังมีคลิปพาดพิงองคมนตรี รวบ 33 นศ.ต้านรัฐประหาร 1 ปี ปะทะตร.ที่หอศิลป์เจ็บระนาว

2 กมธ. สปช.ปิดกล่องจัดหนัก 25 พ.ค. ชง รื้อใหญ่ร่าง รธน. ตัดเหี้ยนโอเพ่นลิสต์-กลุ่มการเมืองไร้สังกัด โยนทิ้ง ม.181-182 ออก ก.ม.ลูกแทน กก.ปรองดองฯ ขีดเส้นนายกฯต้องมาจาก ส.ส. เปิดช่องดับวิกฤติใส่บทเฉพาะกาลสมาชิกรัฐสภา 2 ใน 3 ดันนายกฯ คนนอก กกต.ขอคืนอำนาจชักใบแดง-ล้ม กจต. “อลงกรณ์” ดับข่าวลือ สปช.จ้องโหวตควํ่า กมธ.ตั้งแท่น 8 มิ.ย. ถกคำขอแก้ไขรายมาตรา “ทักษิณ” สุดแฮปปี้เห่ออุ้มหลานสาวฝาแฝดที่สิงคโปร์ คลิปว่อนโซเชียลซัดองคมนตรีมีเอี่ยวทหารยึดอำนาจ “ประยุทธ์” ยืดอกทำ ปว.เองไม่มีใครชักใย 1 ปี คสช. พอใจผลงานแต่ไม่ทั้งหมด ขอกำลังใจบ้าง ท้าเบื่อบอกมาคนทั้งประเทศไล่ก็จะไป กลุ่มโต้กลับไปศาลอาญาฟ้อง 5 คสช.ข้อหากบฏ ตร.-ตะลุมบอนนักศึกษาห้ามเข้าพื้นที่หอศิลป์จัดงานรำลึก 1 ปีรัฐประหาร

คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองและคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายของ สปช.ได้ข้อสรุปร่วมกันในประเด็นหลักที่เตรียมเสนอขอแก้ไขต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 25 พ.ค.แล้ว โดยเสนอตัดทิ้งประเด็นสำคัญหลายมาตรา พร้อมกำหนดเงื่อนไขที่มาของนายกรัฐมนตรีคนนอกอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น

2 กมธ.จัดหนักรื้อใหญ่ร่าง รธน.

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 22 พ.ค. ที่รัฐสภา คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธานและคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช.ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน ร่วมประชุมหารือเพื่อพิจารณาคัดกรองประเด็นที่จะเสนอให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ โดยใช้เวลานานกว่า 8 ชั่วโมง จากนั้นนายดิเรก ถึงฝั่ง กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช. เปิดเผยถึงผลการหารือร่วมว่า จากการหารือร่วมกันนานถึง 2 วัน คือวันที่ 20-21 พ.ค. สปช.ในกลุ่มมีข้อสรุปร่วมในแนวทางเดียวกันในประเด็นหลักๆคือ 1.ประเด็นที่มา ส.ส. เห็นพ้องเสนอปรับแก้ให้มี ส.ส.รวม 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์ เขตละ 2-3 คน จำนวน 400 คน และจากบัญชีรายชื่อ โดยใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จำนวน 100 คน เรียกว่าระบบสัดส่วนคู่ขนาน โดยตัดระบบโอเพ่นลิสต์และไม่เอากลุ่มการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้ง

...

โละทิ้งโอเพ่นลิสต์–ส.ว.สรรหา

นายดิเรกกล่าวต่อว่า 2.ที่มา ส.ว. ขอปรับแก้ให้มีจำนวน 154 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้ง 77 จังหวัด จังหวัดละ 2 คน หากยังคงอำนาจถอดถอนจำเป็นต้องมาจากเลือกตั้งเพื่อยึดโยงกับประชาชน แต่หากไม่มีอำนาจถอดถอน ก็มาจากการสรรหาได้ ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างที่มาของ ส.ว.และการใช้อำนาจของ ส.ว. 3.ขอให้ตัดมาตรา 181, 182 ทิ้ง ส่วนคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติที่หลายฝ่ายห่วงใยเรื่องการนิรโทษกรรมและการปฏิรูปในองค์กรต่างๆที่ระบุในร่างรัฐธรรมนูญก็เสนอให้ขอแก้ไข ดังนี้ “ให้รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีจัดให้มีการปฏิรูปประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ส่วนการดำเนินการสร้างความปรองดองให้เป็นไปตามกฎหมายเสริมสร้างความปรองดอง” คือให้ออกมาเป็นกฎหมายลูกแทนที่จะบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ เพราะคณะกรรมการปรองดองและชุดต่างๆ ควรต้องให้รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีไปปรึกษาร่วมกันเพื่อสรรหา

ใช้เสียง 2 ใน 3 ตั้งนายกฯคนนอก

นายดิเรกกล่าวอีกว่า ส่วนที่มานายกฯ เห็นว่า 1.ต้องให้มาจาก ส.ส.เท่านั้น โดยผ่านสภาผู้แทนราษฎร 2.ทั้งนี้หากเกิดวิกฤติ ก็เสนอให้บัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลแนบท้าย ให้นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอกได้ โดยต้องมีเสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภารับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 7 ซึ่งในกรณีที่เกิดวิกฤติไม่มีคณะรัฐมนตรี ไม่มีสภาฯ จากเหตุการยุบสภา เราเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รักษาราชการแทนรัฐมนตรี และให้คัดเลือกตัวแทนปลัดกระทรวงหนึ่งคนขึ้นมาเป็นรักษาการนายกฯ ตามมาตรา 184 ให้ทำหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้มีการเลือกตั้งเพื่อแก้วิกฤติเฉพาะหน้า โดยไม่มีผลผูกพันทำสัญญาระหว่างประเทศ หรือไม่มีอำนาจจัดทำงบประมาณใดๆ ซึ่งข้อเสนอนี้ปรากฏอยู่ในร่างของ กมธ.ยกร่างแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ข้อเสนอเพื่อขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญนี้ กมธ.ทั้งสองคณะจะแถลงร่วมในภาพรวมก่อนยื่นต่อ กมธ.ยกร่างฯ ในวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งจะตัดทอนร่างให้รัดกุม ถูกต้องตามหลักร่างรัฐธรรมนูญและถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย

กมธ.ถกคำขอแก้ไขรายมาตรา 8 มิ.ย.

นายไพบูลย์ นิติตะวัน คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญกล่าวถึงการส่งคำแปรญัตติเพื่อแก้ไขปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญที่จะครบกำหนดวันที่ 25 พ.ค.ว่า ทุกภาคส่วนน่าจะส่งมายังเจ้าหน้าที่ช่วงตอนเย็นวันที่ 25 พ.ค.ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีคำขอแก้ไขมากกว่า 150 มาตรา เชื่อว่าจะมีการแก้ไขเยอะมาก เชื่อว่า กมธ.ยกร่างฯจะรับฟังเพราะทักท้วงมาจากหลายฝ่าย ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯ จะเริ่มประชุมตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. จะเปิดโอกาสให้ผู้ยื่นคำขอแปรญัตติเข้าชี้แจงในวันที่ 1-6 มิ.ย.และวันที่ 7 มิ.ย.จะเป็นวันสุดท้ายที่รับฟังความเห็นนักการเมือง จากนั้นตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.เป็นต้นไป จะเริ่มพิจารณาคำขอแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตราไล่ตั้งแต่มาตรา 1 เป็นต้นไป ส่วนกระแสข่าวว่าสปช.เตรียมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ยังเร็วเกินกว่าจะพูดอย่างนั้น เพราะยังไม่เห็นร่างสุดท้ายที่ กมธ.ยกร่างฯจะปรับปรุง อาจถูกใจ สปช.ก็ได้ แต่ถ้าไม่ถูกใจ สปช.จะคว่ำก็เป็นสิทธิที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เห็นว่าแนวคิดเรื่องถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ให้ยุบแค่ กมธ.ยกร่างฯ ยังคง สปช.เอาไว้มีเหตุผลอธิบายได้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ ครม.จะตัดสินใจ เพราะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ

กกต.ขอคืนชักใบแดง–ล้ม กจต.

ที่โรงแรมชลจันทร์ พัทยา รีสอร์ท จ.ชลบุรี นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.แถลงข่าวเกี่ยวกับการรองรับอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า กกต.พร้อมจะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและพร้อมจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไปให้ดีที่สุด ไม่ให้มีข้อบกพร่องเหมือนการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 กกต.ได้ทำเอกสารคัดค้านชี้แนะข้อดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญเสนอ กมธ.ยกร่างฯ ไป 8 ประเด็น อาทิ เสนอให้ กกต.มีอำนาจประกาศงดการเลือกตั้งตามพระราชกฤษฎีกาแล้วให้กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ให้นายกฯ เสนอ พ.ร.ฎ.ตาม กกต. ขอให้ยกเลิกคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) มาจัดการเลือกตั้ง ให้กำหนดให้นับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งแล้วส่งผลไปรวมที่เขตเลือกตั้งแล้วประกาศผลโดยเปิดเผย ให้ยกเลิกการลงคะแนน ส.ส.แบบโอเพ่นลิสต์ ให้ยกเลิกกลุ่มการเมือง เป็นต้น ยืนยันว่า กกต.ไม่ได้หวงอำนาจอาสาเข้ามาทำให้การเลือกตั้งสุจริต และนานาประเทศก็ให้ กกต.เป็นคนจัดการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องจัดตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมา ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ว่าจะแก้ไขการทุจริตการเลือกตั้งได้ อาจเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์

“ทักษิณ” เนื้อเต้นเห่ออุ้มหลานแฝด

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขณะนี้เดินทางไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้ส่งเครื่องบินส่วนตัวมาที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อรับหลานสาวฝาแฝด “เอมิ พิณธารา-นานิ พิณนารา” พร้อมทั้งนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ บุตรเขย น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวทั้ง 2 คน โดยสารมายังสนามบินเซเวตต้า ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสนามบินสำหรับเครื่องบินส่วนตัว เครื่องบินเหมาลำบินตรง ในเวลา 13.40 น.โดยทันทีที่เดินทางมาถึง พ.ต.ท.ทักษิณได้โผเข้าไปขออุ้มหลานสาวทั้ง 2 คนอย่างตื่นเต้นรีบร้อน เนื่องจากเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างตา-หลาน นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังแสดงความเห่อหลานเต็มที่ อุ้มทั้ง 2 คนแทบไม่วางมือ ขณะเดียวกัน ยังได้เตรียมทั้งเปล เก้าอี้ รถเข็น เสื้อผ้า ของใช้มากมาย ที่หาซื้อด้วยตัวเอง ไว้รับขวัญหลานทั้ง 2 คน โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดกับคนใกล้ชิดว่า “วันนี้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแถมมีหลานตัวน้อยๆอีก 2 คน เหมือนกับชดเชยที่ไม่ได้เจอกันนาน ความสุขที่สุดในชีวิตของคนเราก็อยู่ตรงนี้แหละ ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไปก็ตาม”

ซัดองคมนตรีเอี่ยวเกมยึดอำนาจ

ขณะเดียวกัน โลกโซเชียลมีเดีย เพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ได้เผยแพร่คลิป พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กำลังพูดถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ความยาว 1.32 นาที ซึ่งเมื่อสอบถามกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ได้รับการเปิดเผยว่า เป็นคลิปลักษณะคุยนอกรอบ ภายหลังจากการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยในคลิปตอนหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า “คือ ประเทศไทยนี่ ตราบใดที่เขาปล่อยให้ทำงานก็ยังมีอำนาจ แต่ถ้าไม่ปล่อยให้ทำงานก็ไม่มีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองคมนตรีทั้งหลาย เที่ยวนี้ทหารก็จะฟังองคมนตรี เพราะตอนที่เขาไม่ต้องการให้เราอยู่ เขาก็ให้สุเทพออกมา และมีทหารเข้ามาช่วย เลยทำให้เราไม่มีอำนาจอะไร ผมก็เลยคุยกับนายกฯปูว่าเหตุการณ์เหมือนที่พี่โดนมาทุกอย่าง ทหารเขาอาจจะชื่นชอบประชาธิปไตยแบบพม่า ที่พม่าเลิกแล้ว เขาอาจชอบอย่างนั้นก็ได้ เราไม่รู้ ผมก็ยังตำหนิเขาไป เขาก็ยังอายุน้อย เขาคงโกรธ...ที่ปฏิวัติแบบนี้ เขาก็คงโกรธว่าประเทศไทยมาดีๆแล้ว...แต่เขาคงโกรธนะ เราเป็นครอบครัวสาธารณะ จะพูดอะไรต้องระมัดระวัง”

“บิ๊กตู่” เชิญกลับไทยมารับความยุติธรรม

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เกาหลีใต้ระบุว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังในการยึดอำนาจว่า ตนไม่ได้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ อย่างที่กล่าวหาว่าทหารมีอำนาจ หรือเป็นฝ่ายอำมาตย์ อำนาจเก่าอำนาจใหม่หรือกลุ่มทุน อย่ามองแบบนั้นมันไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องกลุ่มอำนาจมาเฟียผลประโยชน์ กลุ่มอัลคาโปน นี่คือประเทศชาติ พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดอะไรก็ปล่อยไปเถอะ ถ้าคนในประเทศยังติดตามเฝ้าฟังยังวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไปไม่มีจบ ก้าวข้ามความขัดแย้งตรงนี้ไม่ได้ก็ไปทำให้อีกกลุ่มหนึ่งอีกพวกที่จะหวังให้บ้านเมืองไม่สงบสุขคุกรุ่นขึ้นมาอีก ถามคำเดียวถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่กลับมาประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจะอยู่ในกลุ่มผู้ที่ถูกกล่าวหาเหมือนทุกคนที่อยู่นอกประเทศ ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายทั้งสิ้น ถ้าไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรมก็ให้กลับมา คราวนี้ตนให้ความเป็นธรรมทั้งหมด

โต้ปฏิวัติเองไม่มีใครชักใยสั่งการ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร ขอเปิดใจอีกครั้งว่าไม่มีใครสั่งได้ เพราะชีวิตตนคนเป็นหัวหน้ามีชีวิตใช้ความรับผิดชอบและตัดสินใจเอง ไม่มีใครมาสั่งการ ถ้ามีคนสั่งให้คุณไปตาย คุณไปกันหรือไม่ ทหารเขาสั่งได้สั่งลูกน้องถึงจะไป ตนต้องเป็นตัวอย่างให้เขาในการสู้รบ ใช้ในเรื่องการสู้รบเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าจะสั่งให้ไปตายไปติดคุกตนไม่ทำ “ผมทำเองเพราะเห็นว่าประเทศชาติและประชาชนมีอันตรายอย่างร้ายแรงจึงตัดสินใจทำ ไม่ได้พูดเท็จ ตัดสินใจคนเดียว แม้แต่ครอบครัวก็ไม่มีใครรู้ ตัดสินใจวันนั้น เดี๋ยวนั้น นั่นคือตัวผม เมื่อคิดว่ามันไปไม่ได้แล้ว ผมยอมรับว่าผมทำผิด แต่ถามว่าถ้าหากผมปล่อยวันนั้นไป มันจะมีวันนี้ไหม บ้านเมืองอาจจะล่มสลายไปแล้วก็ได้ บ้านเมืองจะไปกันอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว เมื่อถามว่า ไม่เกินคาดใช่หรือไม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาพูดแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ท่านเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว ท่านก็พูดไป เมื่อถามย้ำว่า แต่มีการพาดพิงถึงองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ก็ไม่รู้ องคมนตรีเองคงไม่ค่อยสบายใจ ท่านเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้วคงไม่อยากฟัง

โยนสื่อประโคมข่าวสุมไฟขัดแย้ง

เมื่อถามว่า อดีตนายกฯออกมาพูดเช่นนี้เป็นห่วงว่าจะเกิดผลกระทบอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ไปถามคนพูด แต่ทั้งหมดอยู่ที่สื่อจะทำให้ลุกลามบานปลายหรือไม่ จะเอาเรื่องเหล่านี้มาสร้างความขัดแย้งกันหรือเปล่า วันนี้จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ ไม่ได้อ่าน ไม่ได้เห็น แต่สื่อก็ไปแพร่ข่าวกันออกมา มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย บอกเล่าต่อๆกันบ้าง ประโคมข่าวกันเข้าไปก็รู้กันทั้งเมือง ปัญหาจะสงบหรือไม่ก็อยู่ที่พวกเราทั้งนั้น วันนี้อย่าไปโทษใคร อย่าไปโทษคุณทักษิณ โทษคนไทยทุกคน ถ้าวุ่นวายอีกอย่าไปโทษคนอื่น ขอร้องว่าให้พอแล้ว อย่าไปโทษกันไปมา ตนจะพูดให้น้อยลง แต่ที่ต้องพูดเพราะเขาออกมาพูดบิดเบือน แต่ถ้าเขาหยุดตนก็หยุดพูด

“ไก่อู” ฉะกล่าวหาเลื่อนลอย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย เอาผลประโยชน์ตัวเองและเครือข่ายเป็นที่ตั้ง โดยไม่ได้ใส่ใจกับความเสียหายของบ้านเมือง มองตนเองเป็นเสมือนศูนย์กลางจักรวาล ไม่สนใจข้อเท็จจริงว่าช่วงเวลานั้นมีทุจริตมากเพียงใด สร้างความแตกแยกในสังคมอย่างไม่เคยเกิดขึ้น แต่ไร้ความรับผิดชอบ กล่าวให้ร้ายคนอื่นและประเทศชาติ

ป้ององคมนตรีไม่เกี่ยวการเมือง