ศิริมงคล เอี่ยมท้วม หรือ ศิริมงคล สิงห์มนัสศักดิ์ นักมวยรูปหล่ออดีตแชมป์โลก เจ้าของฉายา นักชกหน้าหยกในตำนาน มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง แถมยังสามารถไปได้ดีในวงการบันเทิง เหตุใดจึงถลำตัวจนถึงขั้นติดคุกติดตาราง และแม้อายุย่างเข้า 38 ปีแล้ว ก็ยังต้องต่อยมวยปลดหนี้ ในวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีคำตอบ ในตอนที่ 2 ของซีรีย์ จน ดัง หมดตัว วัฏจักรนักมวยจริงหรือ....
เริ่มเข้าวงการมวย ไม่ชอบแต่ไม่ขัดใจพ่อ ขึ้นชกครั้งแรกโดนหลอกไปเที่ยวงานวัด
ศิริมงคล ที่ปัจจุบัน บวชพระอยู่ที่วัดท่าเจดีย์ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เล่าให้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ฟังว่า เริ่มเข้าสู่วงการมวย เพราะทางบ้านเปิดเป็นค่ายมวย ชื่อ ค่ายมวยสิงห์มนัสศักดิ์ ใน อ.ธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี แม้ใจจะรักกีฬาฟุตบอลมากกว่า แต่เกรงใจพ่อที่รักกลิ่นสาบสังเวียนนักชกมากกว่า ก็เลยต้องหันมาเอาดีด้านการต่อยมวยไทยแทน โดยตั้งแต่ประมาณ 6-7 ขวบ ก็ถูกจับมาซ้อมเป็นนักมวยแล้ว จนกระทั่งอายุ 9 ขวบ จึงได้เริ่มต้นตะบันหน้ากับคู่แข่งบนเวทีผืนผ้าใบอย่างจริงจัง
...
"จริง ๆ ตอนนั้น บอกตรง ๆ ว่าไม่ชอบมวยเลย แต่เพราะพ่อบังคับให้มาทางนี้ ก็เลยไม่กล้าขัดใจ ซ้อม ๆ อยู่ ตอนเด็ก ๆ ร้องไห้เมื่อไหร่ ก็โดนพ่อตี แกจะตีจนกว่าจะหยุดร้อง แล้วซ้อมต่อ จำได้ตอนขึ้นชกครั้งแรก อายุ 9 ขวบ ยังโดนพ่อหลอก ว่า จะพาไปเที่ยวงานวัด ที่ไหนได้เขาไปคุยเปรียบมวยกันมาเรียบร้อยแล้ว พอเราไปถึงก็โดนจับขึ้นเวทีแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว" อดีตแชมป์โลกเจ้าของฉายา นักชกหน้าหยก ทวนความหลังในวัยเยาว์ให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ฟัง
โดยค่าตัวการขึ้นชกครั้งแรกที่ได้รับ ในไฟต์ไม่เต็มใจนี้ อดีตแชมป์โลกของเรา ได้เงินมาทั้งสิ้น 100 บาทถ้วน! จากนั้นก็ตระเวนต่อยมวยไทยมาเรื่อย ๆ จนมีชื่อเสียงพอประมาณ ได้ค่าตัวหลักหมื่น พอสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ กระทั่งมาพบจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญชีวิต ให้หันไปเอาดีทางด้านมวยสากลแทน.....
เข้าสู่วงการมวยสากล โชควาสนาส่ง ไฟต์สุดท้ายเข้าตา กรุยทางถึงแชมป์โลก!
หลังจากได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนธัญบุรี เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาของกรมสามัญศึกษา บังเอิญฝีไม้ลายมือไปเข้าตาของ บิ๊กเหวียง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ. ประกอบกับสามารถคว้าเหรียญทองกีฬามวยสากลสมัครเล่น ในการแข่งขันครั้งนั้นได้ จึงถูกดึงตัวเข้าโครงการช้างเผือก ไปอยู่ในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 อยู่ได้สักประมาณ 1 ปี ด้วยความที่เบี้ยเลี้ยง ที่ได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงครอบครัว ก็เลยหารือกับพ่อว่า ควรจะเบนเป้าไปต่อยมวยสากลอาชีพ จะดีกว่า
แต่ใครจะเชื่อ เมื่อหันเหมาต่อยสากลอาชีพได้เพียงไม่นาน อดีตแชมป์โลกหน้าหยกของเรา สารภาพกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า "ต่อยมาได้เพียงไม่กี่ไฟต์ ผมก็ถอดใจไม่อยากจะต่อยอีกแล้ว เพราะต่อยสากลอาชีพนี่ เหนื่อยกว่าต่อยมวยไทยมาก แถมช้ำกว่าเยอะ เพราะสากลนี่เวลาโดน จะโดนแค่ที่บริเวณหน้ากับท้อง พอโดนซ้ำเข้าไปบ่อย ๆ จะช้ำในหนัก ผิดกับมวยไทย ที่จะโดนเฉลี่ยไปทั่วร่างกาย เลยไม่ช้ำในมากนัก ขณะเดียวกันบางที เราออกหมัดชกคู่ต่อสู้มาก ๆ รุ่งเช้า แขนจะล้า บางทียกแขนแทบไม่ขึ้น นอกจากนี้ มวยไทยนี่ต่อยแค่ 5 ยก แถมหากเชิงดี ๆ ยังสามารถอู้พักเหนื่อยได้อีก ผิดกับมวยสากลที่แทบจะอู้ไม่ได้เลย! ประกอบกับคุณพ่อถนัดแต่มวยไทย ไม่รู้วิธีการฝึกมวยสากลด้วย ก็เลยทำให้การฝึกซ้อมผิดวิธี จนทำให้ผมเหนื่อยและช้ำมากยิ่งขึ้น ก็เลยบอกพ่อไปว่า ขอกลับไปต่อยมวยไทยดีกว่า"
แต่บุญวาสนาจะพาให้ชาวไทยได้แชมป์โลก ชื่อ ศิริมงคล ในไฟต์เป็นคู่ชกอุ่นเครื่องให้กับ ฤทธิชัย เกียรติประภัสร์ ซึ่งเจ้าโอ๋ ประกาศว่าขอเป็นไฟต์สุดท้ายของการต่อยมวยสากลอาชีพ เจ้าตัวเกิดเอาชนะได้ นายสหสมภพ ศรีสมวงศ์ หรือ บิ๊กอึ่ง โปรโมเตอร์ชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลังอดีตแชมป์โลกชาวไทยหลายคน จึงเปลี่ยนใจหันมาสร้าง ศิริมงคล ให้กรุยทางสู่แชมป์โลกแทน!
...
ได้จับเงินแสนครั้งแรก คว้าสองเข็มขัด WBU
จากที่จะถอดใจเลิกชกสากล แต่ได้รับโอกาสจากโปรโมเตอร์ชื่อดัง และได้รับการฝึกซ้อมที่ถูกต้อง มีการพักผ่อนที่เพียงพอ รวมถึงมีรายได้ค่าตัวที่งดงามในการต่อยแต่ละไฟต์ โดยสูงสุดได้ถึง 50,000 บาท นักชกหน้าหยกผู้นี้ จึงหันกลับมาต่อยมวยสากลอาชีพอีกครั้ง และประสบความสำเร็จ ได้แชมป์โลก รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวต และ แบนตัมเวต ของ สหภาพมวยโลก หรือ WBU คว้าค่าตัวอีกกว่า 150,000 บาท และ 250,000 บาท ซึ่งถือเป็นการประเดิมคว้าเงินแสนเป็นครั้งแรกในชีวิต! ช่วงประมาณปี พ.ศ.2539
ขาขึ้นสุด ๆ กระชากเข็มขัด WBC จับเงินล้านแรกสำเร็จ
แต่ความรุ่งโรจน์ในชีวิตการค้ากำปั้น ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในเวลาต่อมา บิ๊กอึ่ง ได้ผลักดันให้ไปชิงแชมป์โลกรุ่นแบนตัมเวต ของ สถาบันหลักอย่าง WBC จนคว้าเข็มขัดที่ 3 มาครองได้สำเร็จอีก ประมาณปี พ.ศ.2540 โดยคราวนี้แหละ นักชกที่ครั้งหนึ่งเคยถอดใจจะไม่ต่อยมวยสากลอาชีพอีกแล้ว ก็ได้จับเงินล้านเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยได้ค่าตัวจากการชกครั้งนั้นถึง 1 ล้านบาท ไม่บวกเงินอัดฉีดหรือทองของบรรดาสปอนเซอร์ที่มาสนับสนุนอีกร่วม 7 หลัก!
...
ชื่อเสียงโด่งดัง แถมรูปหล่อ วงการบันเทิงเปิดทาง
คว้าแชมป์โลกมาได้สำเร็จ ชื่อเสียงเงินทองก็ไหลมาเทมา ไปไหนก็มีแต่ห้อมล้อม แถมด้วยความที่หน้าตาดี จึงถูกตั้งฉายาให้ว่า นักชกหน้าหยก และในยุคของความเรืองรองนี้เอง วงการบันเทิงสีสันของความเย้ายวน ก็เริ่มติดต่อมาให้ ศิริมงคล ของเราเข้าสู่วงการ
"ใจจริงตอนนั้นก็อยากจะเข้าวงการไปเลยนะครับ เพราะติดต่อกันมาเยอะมาก ทั้งค่ายหนัง ค่ายเพลง แล้วก็เงินดีเหลือเกินเยอะกว่าต่อยมวยด้วย แถมไม่เจ็บตัวด้วยอีกต่างหาก แต่ด้วยความที่เรารู้ตัวเองว่า เราทำไม่ได้ เพราะแค่จะพูดก็ยังจะพูดไม่ค่อยจะชัด จะให้ไปเล่นหนังเล่นละคร ก็คงยาก แต่หากเป็นพวกถ่ายแบบนี่ ก็พอไหว" พระโอ๋ หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อเล่าให้ฟังถึงอดีตในยามนั้น
ช่วงนี้แหละ! ที่บรรดาฝูงอีแร้งเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว สารพัดชนิด ที่ตามชื่อเสียงเงินทองมา ก็เข้ารุมทึ้งอดีตแชมป์โลกรูปหล่อของเรา
"หลังจากเป็นแชมป์โลก คนมากหน้าหลายตาก็เข้าหา บางทีมาขอให้เลี้ยงข้าวบ้าง มาขอยืมเงินบ้าง เชื่อไหมบางที ไม่รู้จักกันสักนิด เป็นเพื่อนของเพื่อน มาขอยืมเงินหลักแสนหลักล้านกับเรา ก็มี! โดยอ้างว่าจะมาเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจกับเรา แต่ยังโชคดีอยู่หน่อย ตรงที่มีพ่อแม่ช่วยเก็บเงินไว้ให้ส่วนหนึ่ง เลยไม่หมดไปกับตรงนี้ แต่ที่หมดเยอะก็ตรงพาเพื่อน ๆ ไปกิน ไปเที่ยวตามประสาวัยรุ่นนี่แหละ คืนหนึ่งบางที หมดเป็นหมื่น ๆ เพราะช่วงนั้นกำลังคึก อยู่ในวัยแค่ 20 ต้น ๆ เท่านั้น"
...
นอกจากนี้เมื่อเริ่มต้นมีเงินทอง คราวนี้อยากได้อะไรก็จะซื้อ เพราะชีวิตในวัยเด็กไม่ค่อยได้มีเงินจับจ่ายซื้อในสิ่งที่อยากได้สักเท่าไร รองเท้าคู่ละเกือบหมื่น! ก็ซื้อ ของเล่นอะไรที่ในสมัยเด็กได้แค่มอง แพงแค่ไหนคราวนี้ก็ซื้อ! คิดคร่าว ๆ เงินที่หมดไปกับการเที่ยวหลงแสงสี และจับจ่ายซื้อของต่าง ๆ น่าจะอยู่ประมาณ 7 หลัก
เข้าสู่ขาลง! โดนกระชากเข็มขัด แถมโดนครหาล้มมวย!
เริ่มต้นเข้าสู่ขาลง หลังเดินไปพ่ายน็อกให้กับ โจอิชิโร ทัตสุโยชิ ผู้ท้าชิงถึงประเทศญี่ปุ่น โดยในครั้งนั้น ตอนกลับมาเมืองไทย ยังได้ยินเสียงครหาอื้ออึงอีกด้วยว่า ไปชกคราวนั้น "เป็นการเดินทางไปขายเข็มขัด"
โดยศิริมงคล อธิบายถึงสาเหตุความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ให้กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ได้ฟัง ว่า "ตอนนั้นไม่ได้อ่อนซ้อม แต่เป็นเพราะก่อนชกต้องลดน้ำหนักมาก แถมตอนไปป้องกันตำแหน่ง ไปช่วงหน้าหนาว ทางทีมงานไม่ได้เตรียมพร้อมอะไร สำหรับการลดน้ำหนักในช่วงอากาศหนาวเอาไว้เลย ไปอยู่ที่โน่นก็รู้ตัวเลยว่าไฟต์นี้ไม่รอดแน่ ก่อนไปก็บอกคุณสหสมภพแล้วว่า ผมคงทำน้ำหนักรุ่นนี้ไม่ไหวแล้วนะ บิ๊กอึ่ง ก็เลยบอกว่า ขอไฟต์นี้เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งต่อไปจะให้เลื่อนให้ไปต่อยในรุ่นใหญ่ขึ้น"
แม้ปราชัย แต่ก็ได้เงินก้อนใหญ่มาอีกกว่า 3 ล้านบาท ช่วงนั้น พระโอ๋ ยอมรับว่า กลับมาเมืองไทย ไม่อยากเจอหน้าใครเลย เพราะไปไหนมีแต่คนจ้องจะถามว่า "ไปล้มมวยมาจริงหรือ" ไม่เว้นแม้แต่ช่วงไปบวชครั้งแรก เพื่อหวังใช้ทางธรรมะสงบใจในเวลาต่อมา อดีตแชมป์โลกน้ำตารื้น เมื่อเล่าให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ได้ฟังในช่วงนี้
เมื่อหันรีหันขวางไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนั้นเลยออกเที่ยวกับเพื่อน ๆ อย่างหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยหวังว่า จะทำให้ลืมเรื่องร้าย ๆ นี้ไปได้โดยเร็ว ตอนนั้นคิดถึงขนาดจะแขวนนวมเลยด้วยซ้ำ แต่ในยามร้าย ๆ ก็ยังมีดี เพราะบรรดาเพื่อนกินทั้งหลายก็เริ่มหายหน้าไปทีละคนสองคน พร้อมกับเข็มขัดแชมป์โลกที่สูญเสียไปด้วย!
เมื่อลาสิกขาครั้งแรก หวนคืนวงการมวยอีกครั้งกับค่ายใหม่ เนื่องจาก บิ๊กอึ่ง เสียชีวิต ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ค่าตัวก็ได้ไม่อู้ฟู่เหมือนสมัยรุ่ง ๆ แถมยังต้องมาพบกับจุดตกต่ำที่สุดในชีวิต ถึงขั้นต้องติดคุกติดตารางกันเลยทีเดียว....
ชกไม่รุ่ง มุ่งวงการบันเทิง หลงแสงสีเต็มตัว
หลังรีเทิร์นครั้งนั้น ขึ้นชกก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เลยเลิกชก หันไปเข้าวงการบันเทิงเต็มตัว ทั้งเดินแบบ เล่นหนัง เล่นละคร หลายเรื่อง อาทิ ช็อกโกแลต หอแต๋วแตก ได้เงินมาในตัวเลขประมาณ 7 หลัก พอเริ่มกลับมามีชื่อเสียง คราวนี้เพื่อนกินที่เคยหายหน้า ก็เริ่มกลับมาตอมอีกครั้งหนึ่ง
ทำงานวงการบันเทิงได้สักพัก กลิ่นสาบสังเวียนผืนผ้าใบถามหา ศิริมงคล เลยหวนสู่วงการมวยอีกครั้ง หลังจากค่ายใหม่ไปติดต่อขอซื้อตัวมาจากค่ายเก่า แต่ด้วยความที่ได้รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย จึงขอเจ้าของค่าย ไปต่อยมวย K ONE ในต่างประเทศ ด้วยหวังจะหาเงินมาไถ่ตัวเองจากสัญญา ที่ทำไว้กับค่ายใหม่ซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 7 หลัก ซึ่งรายได้จาก K ONE ก็สูงเอาเรื่อง จนสามารถไถ่ตัวเองมาได้ครึ่งหนึ่งของสัญญาแล้ว หากแต่....... ชีวิตอดีตแชมป์โลก ต้องถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง โดยคราวนี้ถึงขั้นติดคุกติดตาราง
ถลำลึกเหยื่อล่อ โดนลวงส่งยาเสพติดไม่รู้ตัว! ถึงขั้นติดคุกติดตาราง
"ช่วงนั้น ไปรู้จักกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพัวพันกับยาเสพติด โดยทำทีเข้ามาตีสนิท ทั้งให้เงิน และเลี้ยงข้าว เพื่อหวังใช้ชื่อเสียงของเรา ช่วยขนยาเสพติดให้ ตอนนั้นคนกลุ่มนี้ ก็เอาพวกยาอี มาให้ทดลอง ตอนที่ไปเที่ยวด้วยกันด้วย โดยบอกกับเราว่า ลองเสพดูแล้วเวลาเที่ยวจะสนุกขึ้น" ศิริมงคล กล่าว
ตอนไปพัวพันกับแก๊งนั้น ตำรวจยศสูงท่านหนึ่ง อุตส่าห์โทรมาบอกพ่อ เพื่อส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า "อย่าให้ไอ้โอ๋ มันไปแถวพัทยาอีกนะ" แต่ไอ้เราเองก็ดันทนความรบเร้าของเพื่อนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจแล้วว่า จะไม่ไปคบกับคนพวกนี้อีก ที่สุดก็ถูกตำรวจจับกุมในข้อหามียาไอซ์ ไว้เพื่อจำหน่าย ที่เมืองพัทยา จนได้ เมื่อปี พ.ศ.2552 จนถูกศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี!
ตอนโดนตำรวจจับ อดีตแชมป์โลก บรรยายให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า "ตอนนั้น ช็อกเลย! ข่าวลงครึกโครมไปทั่ว ตอนได้เจอพ่อและแม่ครั้งแรก หลังถูกจับ รู้สึกเสียใจเกินกว่าจะพูดอะไรได้ ได้แต่ร้องไห้อย่างเดียว เพราะพ่อและแม่ มาเยี่ยมเราด้วยน้ำตาอาบเต็มสองแก้ม... พอรู้ว่าพ่อแม่เสียใจ ก็เลยอยากจะหนีหน้าไม่อยากให้พ่อแม่ได้เห็นเราในสภาพนี้ เลยพยายามขอย้ายไปติดคุกในจังหวัดอื่น เพื่อไม่ให้พ่อแม่มาหา พอรู้เรื่อง พ่อกับแม่ ก็มาพูดกับเราว่า มึงจะย้ายไปทำไม ถึงมึงย้ายไป กูก็ตามไปเยี่ยมมึงอยู่ดี ลูกทั้งคน! ตอนนั้นเรานี่สะอึกเลย"
แสนเสียดาย พลาดโอกาสทอง ชวด5แสน ค่าจ้างเป็นคู่ซ้อมปาเกียว
"ชีวิตนี้ ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง คนในครอบครัว ฝากความหวังทั้งหมดไว้ให้กับเรา เพราะตอนนั้น ไปซื้อที่ดินเพื่อเตรียมนำมาปลูกบ้านหลังใหม่ และค่ายมวยเอาไว้ ในราคา 3 ล้านบาท โดยทำสัญญาผ่อนชำระเอาไว้ 3 ปี กับคนที่รู้จักกันแท้ ๆ และที่เสียดายหนักคือ หากตอนนั้นไม่ติดคุกเสียก่อน ก็จะได้ไปลงนวมเป็นคู่ซ้อมให้กับ ปาเกียว แชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ ชาวฟิลิปปินส์ ที่ติดต่อจ้างมาด้วยราคากว่า 5 แสนบาทอยู่แล้วแท้ ๆ"
ล่าสุดตอนออกจากคุกใหม่ ๆ ปาเกียว ก็ยังติดต่อจ้างให้ไปลงนวมเป็นคู่ซ้อมให้อีก ด้วยค่าจ้างที่ค่อนข้างสูง หากแต่ช่วงนั้น ยังติดพักโทษอยู่ ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศไทย จึงทำให้ พระศิริมงคล ชวดโอกาสทองในชีวิตนักมวย ไปอย่างน่าเสียดายอีกครั้ง
เปิดชีวิตในคุก ของ อดีตแชมป์โลก โดนขาใหญ่ลองของ
ตอนเข้าไปใหม่ ๆ พวกบรรดานักโทษ พอรู้ว่าเราเป็นแชมป์โลก ก็เข้ามาทำทีจะลองของบ้างตามปกติ แต่เราก็ทำเป็นนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ไปยุ่งกับเค้า ที่สุดบรรดาขาใหญ่ พอรู้ว่าเราไม่ได้ไปทำตัวกร่าง เบ่งว่าเป็นนักมวยดัง ก็ให้การยอมรับ ถึงขนาดได้ทำหน้าที่เป็นเหมือนพ่อบ้านคนหนึ่ง เพื่อคอยดูแลนักโทษคนอื่น ๆ เลยทีเดียว แม้กายจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ขาดอิสรภาพได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่จิตใจกลับไม่สงบเพราะห่วงทางบ้านตลอดเวลา ด้วยความที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับบ้านและค่ายมวย ที่เพิ่งปลูกให้พ่อและแม่ ที่ขาดส่งอยู่