มูลนิธิเมาไม่ขับ และ กลุ่มป้องกันการบาดเจ็บ สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ได้เปิดเผยข้อมูล สถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555-2557 โดย ปี พ.ศ. 2555 มีผู้เสียชีวิต 14,059 คน บาดเจ็บ 817,015 คน ส่วนปี พ.ศ. 2556 มีผู้เสียชีวิต 14,789 คน บาดเจ็บ 1 ล้านคน ขณะที่ล่าสุด ปี พ.ศ. 2557 มีผู้เสียชีวิต 15,045 คน บาดเจ็บ 1 ล้านคน สำหรับสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ อันดับ 1 คือ เมาสุรา รองลงมา คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด, ตัดหน้ากระชั้นชิด, ทัศนวิสัยไม่ดี, หลับใน

จากสถิติดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุได้ไม่ดีพอ ถึงแม้จะมีการออกมารณรงค์อยู่ตลอดก็ตาม ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ร่วมพูดคุยกับ นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช  เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุหลายโครงการ

...

ยกเหยื่อเมาแล้วขับอุทาหรณ์สังคม พร้อมสร้างโอกาสทำงาน CSR

นายแพทย์แท้จริง เผยว่า ทางมูลนิธิเมาไม่ขับได้เข้าช่วยเหลือเหยื่อเมาแล้วขับ โดยการนำผู้ที่เป็นเหยื่อมาเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนในสังคม เนื่องจากเมื่อก่อนคนเหล่านี้มองตัวเองว่าเป็นภาระของสังคม ทำอะไรไม่ได้และก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะไม่ใช่คนที่ปกติอีกต่อไปแล้ว มูลนิธิฯ จึงนำเหยื่อเมาแล้วขับมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะพวกเขาเป็นผู้เคยประสบอุบัติเหตุมาก่อน สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง ชัดเจน มากกว่าคนที่ไม่ได้ประสบเหตุ ซึ่งแทนที่จะอยู่บ้านเฉยๆ กลับได้มาช่วยเหลือสังคม ได้ออกมาเผชิญโลกนอกบ้านทำให้คนเหล่านี้เป็นคนใหม่ขึ้นมา

แต่อย่างไรก็ตาม การรณรงค์นั้นไม่ได้มีตลอด มูลนิธิฯ จึงฝึกอาชีพให้ เช่น ซ่อมโทรศัพท์มือถือ ทำจิวเวลรี่ สอนคอมพิวเตอร์ และยังมีการช่วยเหลือส่งเสริมในด้านกีฬา ซึ่งทีมวีลแชร์บาสเกตบอลทีมชาติก็เป็นสมาชิกของมูลนิธิฯ ก็สนับสนุนให้เล่นกีฬา ส่งเสริมในสิ่งที่พวกเขาถนัดหรือสนใจด้วย นอกจากนี้ ยังฝากไปอยู่กับบริษัทที่ทางมูลนิธิฯ สามารถเจรจาประสานงานกันได้ เช่น อมตะนคร ที่รับคนพิการเข้าทำงาน ในขณะที่ ทำงานก็ยังเข้ามาช่วยรถรงค์เมาไม่ขับอีกด้วย

ขณะที่ มูลนิธิฯ ได้ค้นพบปัญหาเรื่องการเดินทางจากบ้านไปทำงาน เนื่องจากว่าผู้พิการจะต้องนั่งรถไปทำงาน รถประจำทางก็ขึ้นไม่ได้ ขึ้นได้แต่รถแท็กซี่ และเมื่อต้องขึ้นรถแท็กซี่ไปทำงานทุกวัน ค่าใช้จ่ายยิ่งมากขึ้นแทบจะไม่เพียงพอ มูลนิธิฯ คิดว่างานอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย จึงพูดคุยกับบริษัทต่างๆ และเสนอว่า ให้บริษัทจ้างผู้พิการต่อไปเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องให้ไปทำงานที่บริษัท โดยแนะนำว่า ให้ทำ CSR รณรงค์แทน เช่น เป็นพรีเซนเตอร์รณรงค์ โดยให้เหยื่อเมาแล้วขับใส่เสื้อของบริษัทนั้นๆ และรณรงค์เมาไม่ขับหรือโครงการอื่นๆ ของบริษัท เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ เพราะเชื่อว่าหลายบริษัทก็ต้องมีแผนก CSR อยู่แล้ว ขณะนี้ก็มีบริษัทเข้าร่วมแล้วหลายราย

เกิดอุบัติเหตุ อย่าโทษแต่เวรกรรม โชคชะตา หรือ ความซวย!

ที่ผ่านมาการรณรงค์เมาไม่ขับของมูลนิธิฯ ได้ผลมากน้อยเพียงใดนั้น นายแพทย์แท้จริง เผยว่า แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ ได้ผล ในเรื่องการรับรู้ คือ ประชาชนรับรู้ว่ามีการรณรงค์เมาไม่ขับ ซึ่งการรับรู้ตรงนี้คิดเป็น 100% ไม่มีใครไม่รู้เรื่องเมาไม่ขับ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง คือ พฤติกรรม ยังไม่ดี ประชาชนรู้ว่าเมาไม่ขับ จะเกิดผลอย่างไรบ้าง แต่ยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองมากเท่าไร เพราะคิดว่ารอด ส่วนนี้คิดเป็น 40% เท่านั้น

...

ฉะนั้น จะต้องพัฒนาด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น โดยการบังคับใช้กฎหมายจะต้องเข้มในทุกระดับตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ ศาล ซึ่งผู้บริหารประเทศ ต้องคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่างตอนเลือกตั้ง ไม่มีใครประกาศนโยบายเมาไม่ขับเลย บางครั้งรัฐบาลอาจมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป ซึ่งคนไทยมักมองเรื่องนี้เป็นเรื่องของเวรกรรม โชคชะตา ความซวย คนเมาขับรถเกิดอุบัติเหตุต่างโทษว่าสมควรแล้วเวรกรรมของเขาเอง ขณะที่ สาเหตุที่แท้จริงอยู่ที่การเมาและขับรถด้วยความประมาท แต่กลับไปโทษเรื่องราวของความเชื่อที่เป็นทัศนคติที่ถูกปลูกฝังมาแบบนี้ แต่เรื่องดังกล่าวก็สามารถแก้ไขได้ถ้าผู้นำมองเห็นปัญหา เช่นเดียวกับผู้นำหลายประเทศมองเห็นปัญหานี้และสั่งการลงมาทันที

สำหรับแนวทางแก้ไข หมอแท้จริง ชี้แนะว่า ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องออกมาร้องเรียน เพราะว่าประชาชนควรจะได้รับการคุ้มครองดูแลในเรื่องความปลอดภัยจากรัฐบาล ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นสิทธิ์ที่พึงได้ รัฐบาลต้องมาดูแล ถึงเวลาที่สังคม ประชาชน ต้องออกมาเรียกร้องความปลอดภัยให้แก่ตนเอง

...

“มนุษย์ไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะตาย เพราะมีปัจจัยให้คำนึงหลายอย่าง ทั้งโดยเฉพาะสภาพแวดล้อม เช่น ถ้าโดนตำรวจเรียกก็แค่เสียเงิน หรือบอกต่อๆ กันว่าจุดนี้มีการตั้งด่านตรวจ ซึ่งในความเป็นจริงคิดว่าสามารถเอาตัวรอดจากตำรวจได้ จึงทำให้ไม่ค่อยกลัวตำรวจจับ เหมือนกับว่ามีของดี มีตัวช่วยที่ดี ขณะที่ มนุษย์ก็กลัวความตายนะไม่ใช่ไม่กลัว แต่คิดว่าความตายยังไกลตัวยังไม่เกิดขึ้นหรอก และคิดว่ารอดได้จึงยังมีพฤติกรรมเมาแล้วขับอยู่” นายแพทย์แท้จริง แสดงความเห็น

อย่ารอให้ตัวเลขการบาดเจ็บล้มตายพุ่งขึ้นไปมากกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องลงมาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที.

*ขอบคุณภาพจาก มูลนิธิเมาไม่ขับ

อ่านเพิ่ม