อยู่เบื้องหลังการปลุกปั้นซุป’ตาร์ดังๆประดับวงการบันเทิงมานับไม่ถ้วน ไล่ตั้งแต่ “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ”, “ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ”, “เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ” มาถึง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” และ “มาริโอ้ เมาเร่อ” จนขึ้นหิ้งเป็นนักปั้นมือทองระดับท็อปของเมืองไทยที่มีตาคมดุจเหยี่ยว สำหรับ “เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร” กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่การจะรักษาบัลลังก์ความเป็นหนึ่งไว้กลับยากยิ่งกว่า โดยเฉพาะในโลกมายาที่มีแต่ความดราม่าใส่หน้ากากเข้าหากัน
จุดเริ่มต้นของนักปั้นมือทองมาจากไหน
ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักปั้นมือทอง คิดแต่ว่าเราเป็นคนทำงานในหน้าที่อาชีพที่รับผิดชอบ และเวลาทำอะไรเป็นคนจริงจัง คือจะเทหมดหน้าตัก ที่จริงตอนเด็กๆฝันอยากเป็นดารา เพราะตอนอยู่นครศรีธรรมราช บ้านลำบากมาก ทีวีเพิ่งเข้าตอนเราอายุ 8-9 ขวบ สมัยนั้นบ้านไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้แบตเตอรี่ปั่นไฟ พอเราเห็นทีวี ก็ฝันว่าอยากไปอยู่ในทีวี สมัยนั้นจะดูหนังสักเรื่อง ต้องนั่งรถสิบล้อขนไม้จากบ้านเข้าไปในเมือง 30 กิโล
ชีวิตวัยเด็กโตมาแบบลำบาก กัดก้อนเกลือกินเลยไหม
ก็ไม่ถึงกับลำบากขนาดนั้น (เน้นเสียงสูง) ชีวิตจริงๆไม่จนนะ ปู่ของ “เอ” มีที่ดินประมาณ 200 ไร่ ทำสวนยางพาราและสวนผลไม้อยู่ที่นครฯ ส่วนคุณพ่อเป็นรอง ผอ.โรงเรียนที่อำเภอพรหมคีรี คุณแม่เป็นลูกนักการเมืองท้องถิ่นที่อำเภอสิชล ชีวิตแค่ห่างไกลความเจริญ บ้านอยู่ห่างจากตัวเมือง 30 กิโล ต้องตื่นตีห้านั่งรถสองแถวไปโรงเรียนทุกวัน เลยได้ดูทีวีครั้งแรกตอน ป.3 ละครเรื่องแรกที่ดูคือแก้วหน้าม้า ก็มโนว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงแตงอ่อน
...
ได้วิ่งไล่ตามหาความฝันเพื่อเป็นดาราอย่างจริงจังหรือเปล่า
หลังจบชั้นมัธยม ก็เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนวิศวะ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ทำให้เห็นโลกกว้างขึ้น และชีวิตได้ใกล้ชิดดารามากขึ้น เพราะที่ ม.รังสิตมีดาราเรียนเยอะ และบังเอิญเป็นเพื่อน “ยุ้ย-ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี” ซึ่งเรียนคณะนิเทศฯ เลยได้ไปกองถ่ายละครกับ “น้องยุ้ย” และได้รับการชักชวนให้เล่นเป็นตัวประกอบ รับเงิน 500-700 บาท
จากตัวประกอบเล็กๆ ผันตัวมาเป็นนักปั้นดาราได้อย่างไร
เป็นคนทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ เลยบอกตัวเองว่าถ้าไม่ได้ดีจะไม่กลับบ้าน!! จังหวะโชคดีที่ตอนเรียน ม.รังสิต ได้รู้จักกับ “อั้ม-พัชราภา” ตอนนั้นน้องยังไม่เป็นดารา ด้วยนิสัยเราที่ชอบคุยกับคนสวย ก็เลยเข้าไปคลุกคลีสนิทสนม และขอติดรถ อั้มกลับบ้าน หลังจากนั้น “อั้ม” ได้เข้าวงการ เป็นช่วงที่เราตกงานเพราะฟองสบู่แตกตอนปี 2540 “อั้ม” เลยชวนให้มาเป็นผู้จัดการ น้องให้เงินเดือน 8 พันบาท และแนะนำให้ปั้นใครขึ้นมาเป็นดาราอีกสักคน จะได้มีรายได้เสริม เราเลยปั้น “ป๋อ-ณัฐวุฒิ” เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เป็นรุ่นน้องวิศวะ ที่ ม.รังสิต ก็เริ่มอาชีพนักปั้นจากตรงนั้น 18 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นรุ่น “น้องเวียร์-ศุกลวัฒน์” และ “ณเดชน์” แล้วก็ปั้นมาอีกเรื่อยๆ
สูตรลับความสำเร็จของ “เอ–ศุภชัย” อยู่ตรงไหน ทำไมปั้นใครก็ดังเปรี้ยงปร้าง
“เอ” จะไปมองหาเด็กตามภูมิภาคต่างๆ อย่าง “น้องเวียร์” มีคนส่งรูปมาทางมือถือเครื่องนี้ โนเกีย N70 ใช้มาเกือบ 15 ปีแล้ว ไม่เคยทิ้ง เพราะผูกพันมาก “เอ” บินไปขอนแก่นเลย ไปเดินหาเวียร์ทั่วมหาวิทยาลัยขอนแก่น เดินอยู่เป็นวัน มีแค่รูปเวียร์ในมือถือ เดินจนท้อแล้วจะกลับบ้านอยู่แล้ว ถามใครก็ไม่รู้จัก กระทั่งเจอคนรู้จักบอกว่าเวียร์อยู่หอพักชาย ให้ลองไปดัก เราไปรอตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ก็ได้เจอเวียร์จริงๆ น้องเพิ่งเตะบอลกลับมา แต่ใช้เวลากล่อมอีกครึ่งปี!! เพราะคนต่างจังหวัดเรียนวิศวะ เค้าไม่อยากเข้าวงการบันเทิงหรอก เราต้องกล่อมให้เชื่อใจ
ได้ข่าวว่า “เอ–ศุภชัย” ทุ่มเทและทุ่มทุนมากกับการปั้นเด็ก
จริงๆทำงานกับทุกคน “เอ” ก็ทุ่มทุนหมด อย่างตอนที่ทำงานกับ “น้องเวียร์” เราจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้น้อง 1 ปีเต็มๆ เพื่อไม่ให้เสียการเรียน “เอ” รับปากพ่อแม่น้องว่าไม่ต้องห่วงนะครับ จะไม่ให้น้องต้องเสียการเรียนแน่นอน ยุคนั้นค่าตัวเวียร์สตาร์ตตอนหนึ่งแค่หมื่นห้า ละครเรื่องหนึ่งได้ 2-3 แสนบาท แต่เราจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินขอนแก่น-กรุงเทพฯ ไป 4 แสนบาท ยังไม่รวมที่อยู่ที่กิน เสื้อผ้าหน้าผม นี่คือสิ่งที่ลงทุนให้น้อง โชคดีที่รุ่นแรกๆอย่าง “เวียร์” และ “ณเดชน์” มาถึงก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องทำศัลยกรรม แต่ช่วงหลังบุคลากรผลิตไม่ทันป้อนวงการ ก็ต้องใช้วิธีเร่งรัดบ้าง พาน้องๆไปทำศัลยกรรมที่เกาหลี เราลงทุนจ่ายให้หมด คือเกือบสวยเกือบหล่อแล้วทำอีกนิดหน่อยก็ใช้ได้
...
มีเด็กในสังกัดประเภทปั้นจากกรวดให้เป็นเพชรไหม
ก็มีบ้าง (หัวเราะ) เด็กบางคนต้องใช้เวลาปั้นนานถึง 5 ปี บางคนเป็นโรคสมาธิสั้น ต้องรักษาให้หายก่อน ระหว่างนั้นก็รักษาหน้าตาด้วยพาไปดัดฟัน และทำศัลยกรรม เราเหมือนเป็นพ่อแม่เลยนะ ต้องส่งเรียนมหาวิทยาลัยทุกคน สำหรับ “เอ” การปั้นนักแสดงกับการเรียนหนังสือต้องไปคู่กันตลอด จะสอนเด็กเสมอว่าการเป็นนักแสดงก็เหมือนการเรียน ถ้าตอนสอบคุณขยัน ยังไงก็เอาตัวรอด เหมือนที่ “เอ” อธิบายเด็กวิศวะอย่างน้องเวียร์ว่า การเล่นละครก็เหมือนทำโจทย์ฟิสิกส์ และโจทย์ไดนามิก เราต้องหาค่า FX ออกมาก่อน การแอ็กติ้งก็เหมือนกัน ถ้าน้องฝึกทำโจทย์เยอะๆ ไม่ว่าเจอโจทย์ แบบไหนก็จะทำข้อสอบได้ มันไม่มีคำว่าตายตัว จะใช้สูตรอะไรก็ได้ สุดท้ายได้ค่าคำตอบเหมือนกัน คือการยอมรับจากประชาชน “เอ” ชอบทำงานกับคนเรียนดี เพราะคนไม่เรียนหนังสือจะไม่เข้าใจสิ่งที่เราสอน
จะเป็นเด็กในสังกัด “เอ–ศุภชัย” ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
จริงๆแล้วอันดับหนึ่งก็ต้องมีหน้าตาดี อันดับสองคือต้องมีความรู้ และต้องมีความรับผิดชอบ ถ้ากตัญญูด้วยก็จะดีมาก แต่อันนี้ไม่สามารถทดสอบได้ง่ายๆต้องใช้เวลา
...
ตั้งแต่ปั้นดาราประดับวงการ ภูมิใจกับเพชรเม็ดไหนที่สุด
ก็รักและภูมิใจทุกคน อย่าง “ณเดชน์” เราไปเกาะรั้วแอบดูน้องที่โรงเรียนตั้งแต่มัธยม “ณเดชน์” กำลังเตะฟุตบอลอยู่ “เอ” เลยปีนรั้วเข้าไปหาน้อง และคุยกับน้องชวนมาทำงาน น้องบอกว่าผมไม่รู้เรื่อง ต้องคุยกับแม่แก้ว ก็เลยขับรถไปคุยกับคุณแม่ที่บ้าน ปรากฏว่าบ้าน “ณเดชน์” กับ “น้องเวียร์” อยู่ห่างกัน 4 หลัง เราเลยชวนแม่น้องเวียร์มาช่วยคุยกับแม่แก้ว ตอนนั้นน้องอยู่ ม.4 เองเป็นรุ่นที่เหนื่อยเหมือนกัน เพราะต้องนั่งเครื่องสลับกับนั่งรถขึ้นมาทำงาน
การปั้นดาราแต่ละคน ต้องลงทุนเยอะขนาดไหน
แล้วแต่คน บางคนก็ลงทุน 3-4 ล้านบาท อันนี้ไม่รวมค่าส่งเรียนนะ แค่ทำศัลยกรรมหน้าก็จ่ายไปหลายแสนแล้ว เวลาเด็กมาอยู่ที่บ้าน เราต้องเลี้ยงข้าวทุกมื้อ ค่าน้ำค่าไฟก็จ่ายหมด ถ้าหน้าตาไม่โดนต้องพาไปดัดฟัน ก็จ่ายอีกเกือบ 2 แสนบาท ถ้ายังไม่หล่อไม่สวยก็ต้องพาไปเกาหลี ที่ต้องเป็นเกาหลีเพราะอยากได้ความแปลก ถ้าเป็นไปได้จะไม่พาใครไปเกาหลีเลย เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก...ตกคนละล้าน!! ทำจนหมอเกาหลีซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวได้แล้วและส่งการ์ดมาขอบคุณ นอกจากนี้ก็ต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่างให้เด็ก ทั้งเรื่องฝึกบุคลิกภาพ เข้าคลาสเรียนร้องเพลง คลาสสอนแอ็กติ้ง ฟิตหุ่นออกกำลังกาย และฝึกระเบียบวินัย ซุป’ตาร์ทั้งหลายโดนเราสาดน้ำปลุกให้ตื่นมาแล้ว
...
ดาราส่วนใหญ่ต้องทำศัลยกรรมแก้ไขจุดไหน
ทำตา!! เราชอบคนตาเซ็กซี่ ดูมีเสน่ห์เจ้าชู้นิดหนึ่ง ถ้าตาไม่เซ็กซี่มันไม่ดึงดูด “เอ” เป็นคนออกแบบตาเซ็กซี่เอง เป็นการทำตาให้เป็นเหยี่ยว ให้หัวตาเป็นสละอิ และกรีดลึกเข้าไปข้างใน เชื่อไหมว่าอนาโตมีคน แค่เปลี่ยนนิดเดียว ความรู้สึกที่เราเห็นหน้าเค้าก็เปลี่ยนแล้ว บางคนมองเผินๆเหมือนอั้มเหมือนณเดชน์ แต่ทำไมเรามองหน้าเค้าแล้วไม่รักเค้าล่ะ เพราะอนาโตมีของใบหน้าจะถ่ายทอดมาที่เซลล์สมองคนดู แล้วจะบอกว่าเรารู้สึกยังไงกับคนนั้น เรื่องโหนกแก้มก็สำคัญมาก ถ้าโหนกแก้มเตี้ยไปจะดูเป็นกระดาษจอแบน เวลาโดนแสงเบาซ์เข้าหน้า มันจะดูโทรมเป็นคนจน ฉะนั้น ต้องยกโหนกนิดหนึ่งให้ดูรวย แต่โหนกต้องไม่สูงมากเกินไป เวลาไปเกาหลีจะขนเด็กไปอยู่กันสองอาทิตย์ ทำศัลยกรรม รอตัดไหม และพักฟื้น จนถูกแซวว่า เป็นหัวหน้าทัวร์รถคว่ำ!! เพราะเจอ ตำรวจเกาหลีตรวจรถทัวร์ถามว่าทำไมคนทั้งรถพันหน้าหมด เราตอบว่าพอดีรถคว่ำ!! แล้วทำไมรอดอยู่คนเดียว (ชี้มาที่เอ) เราบอกอ๋อพอดีนั่งข้างหลัง
จริงไหมคะ “เอ–ศุภชัย” รวย มาก เพราะหักหัวคิวดารา 30%
ธรรมดาๆ (หัวเราะ) บ้านหลังใหม่ที่สร้างก็แค่ 2 ไร่กว่าๆ ราคา 60-70 ล้านบาท ข้างในทำห้องไว้ 15 ห้อง ก็ให้เด็กๆได้กินอยู่ มีครบทุกอย่าง ทั้งสระว่ายน้ำ, ห้องฟิตเนส และมีอาหารไว้รอ 24 ชั่วโมง วันที่ชวน “อั้ม” มาที่บ้าน น้องบอกว่าน้ำตาไหลดีใจ เพราะนี่เงินกูทั้งนั้น (หัวเราะ) เลยโดนแซวถึงวันนี้ แต่กับอั้มและป๋อเป็นสัญญาใจล้วนๆ แล้วแต่น้องจะให้เลย หาโฆษณามาได้ก็ยกให้หมด ส่วนคนอื่นๆเวลาแต่งงานเราก็ให้เงินก้นถุงหลักแสนทุกคน
เคยเจอไหมปั้นเสียของใช้ไม่ได้ หรือปั้นสำเร็จแล้วตีจากเรา
ก็มีบ้าง (ยิ้ม) พอเราปั้นแล้ว ส่งไปเรียนมหาวิทยาลัย ก็ไปมีแฟนทำผู้หญิงท้อง ส่วนใครดังแล้วจะไปจากเรา ก็ขอให้มีความสุขในจุดที่เค้าอยากมี ตัวเราไม่อยากฝืนความรู้สึกคนอื่น แค่คิดว่าอย่างน้อยอยากให้เค้าจำเราบ้างก็ดีนะ อย่างน้อยเวลาที่มองตัวเองหน้ากระจก ก็อยากให้จำไว้ว่าตาที่มึงได้มา จมูกที่มึงได้มา และฟันที่มึงได้มา ชีวิตการเป็นดาราที่มึงได้มา...คือกูทั้งนั้น!! สัญญามีทุกคน ขอแค่ว่าถ้าไปจากเราแล้วอย่ามาขี้รดหลัง เราก็ไม่ยุ่งหรอก ให้รู้ไปเลยว่าอยากไปเพราะอยากได้เงินเต็มๆ ไม่อยากแบ่งฉัน ก็ไม่ว่าอะไร แต่อย่ามาด่าลับหลัง ฉันเหนื่อย ขี้เกียจจะแก้ข่าว สุดท้ายใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น.
ทีมข่าวหน้าสตรี